วิเคราะห์แผนแบบ Binary ทั่วไป และ Dual Linear ของเอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ระบบแผนการตลาดแบบหลายชั้น (MLM) หรือการตลาดแบบเครือข่าย
1.Stair Step - ระบบผลต่างขั้นบันได
2.Stair Step - Brake Away ระบบแยกคะแนนออกจากกลุ่ม
3.Matrix – ขยายแนวกว้างเพื่อให้ได้ผลประโยชน์แนวลึก
4.Uni-Level – มองแต่ละชั้นเป็นหนึ่งหน่วย
5.Binary และ Trinary – แผนจับคู่
6.Party Plan – แผนลูกผสม
7.Dual Linear - ไบนารี่แบบ weak team, strong team
หรืออาจมีมากกว่านี้ ที่ยังไม่มีข้อมูล
..............................

แผน ดูอัล ไลเนียร์: Dual linear เอมสตาร์
แผน Binary ไบนารี่ ที่วิเคราห์กันว่าอยู่กันไม่นาน เรามาดูกันว่าเพราะอะไรมันถึงอยู่ไม่นาน
มีดังนี้
ในที่นี้อยากจะเปรีบเทียบ Binary กับ Dual Linear ของเอมสตาร์ดู เพราะบางท่านยังเข้าใจ 
ผิดว่ามันเหมือนกันอยู่
ไบนารีั Binary ชื่อก็บอกแล้วครับ ว่าทำ 2 สายงาน
แผนแบบนี้ มันเป็นการพัฒนาให้ทำงานชั้นลึกได้ง่าย เริ่มต้นเร็ว แต่สาเหตุจากความ
ที่มันง่ายนั้น จึงมีการปรับปรุงแผนไปเรื่อย จนเป็นการเอาใจคนทำเครือข่ายมากเกินไป
ทำให้องค์กรแตกได้ในระยะไม่นานนัก
สาเหตุแรกคือ
1. บังคับซื้อของพร้อมเปิดรหัส (เหมือนการจัดยาชุดสดในร้านขายยา)
-แบบนี้มักทำให้เกิดการบังคับซื้อของทำให้คนแนะนำได้เงินเร็ว แต่คนที่สมัครน่ะจะเกิด
การเร่งรัดในตัวเองว่า ต้องรีบหาเงินมาซื้อของ ทำให้ผู้สมัคร รู้สึกว่าธุรกิจไม่ค่อยโปร่งใส
2. ไม่ต้องรักษายอด
- " ซื้อครั้งแดียวจบ แต่บริํษัทต้องจ่ายเงินให้ตลอดชีวิต" แค่นี้ก็ฟังดูตลกแล้วครับ
ถ้าเราเป็นเจ้าของบริษัท ในแนวทางแบบนี้มันยุติธรรมกับเรารึเปล่าครับ
อีกอย่าง ด้วยตัวแผนแบบนี้จะทำให้มียอดเกิดจากคนใหม่เท่านั้น คนเก่าๆ ต้องวิ่งหาไปเรื่อยๆ
หยุดไม่ได้ซักที บางบริษัทอาจจะบอกว่าถ้าไม่รักษายอดจะได้รายได้จากแผนนี้ แผนนี้ แต่ถ้า
รักษายอด จะได้รายได้เพิ่มอีกสองทาง สามทางก็ว่ากันไป ซึ่งการตั้งเงื่อนไขแบบนี้ คนส่วน
มากก็จะไม่รักษายอดครับ (ผมก็เคยมาก่อน) แล้วรายได้จากอีกแผนมันจะส่งถึงคนข้างบนได้
ยังไง และการรักษายอดที่ว่านั้น ก็ไม่ทำให้เกิดคะแนนจากจุดเดิมเพื่อที่จะมาจับคู่ ซึ่งเป็นราย
ได้หลัก ดังนั้น จะรักษายอดหรือไม่ ก็ไม่ต่างกันครับ รายได้ไม่เกิดจากคนเก่าอยู่ดี
3. ทำหลายรหัส
-ด้วยความที่ ไม่ต้องรักษายอดนั่นล่ะ ทำให้ ต้องมีการป้องกันการลดน้อยลงของรายได้คนเก่าๆ
เช่น ถ้าเดือนแรกมีคนสมัคร 100 คนคนละ 1รหัส คนข้างบนจะได้เงินหลักแสน แต่ถ้าเดือนต่อมา
คนสมัครน้อยลงล่ะเหลือ 80 รหัสแบบนี้ คนข้างบนจะมีรายได้หลักแสนเหมือนเดิมหรือไม่ แสดง
ว่ารายได้จะเป็นแบบ ฟันปลาซะมากกว่า เมื่อรายได้ขึ้น ๆ ลง ๆ แม่ทีมก็จะย้ายบริษัทไปทำตัวใหม่
ดังนั้นจึงตั้งเงื่อนไขให้สมัครได้หลายรหัส เพื่อจะเป็นการชดเชยคนที่สมัครน้อยลงในเดือนถัดไป
เช่นสมัครได้ 4 รหัส (ทำเพิ่มได้ เป็น 3 สายงาน) 7 รหัส (ทำได้ 4 สายงาน) 21รหัส
(ทำได้ 8 สายงาน) ฯลฯ
** ไบนารี ชื่อก็บอกว่า 2, ดันไปทำมากกว่า 2 แล้วมัจะเรียกว่าไบนารี ทำไมกัน **
โดยจะเขียนแผนให้ คนรู้สึกว่าตัวเองจะสูญเสียครับ คนถึงจะสมัครหลายรหัส
เช่น สมัคร 1 รหัส จะมีรายได้ไม่เกิน ... ต่อเดือน ถ้าสมัคร 4 รหัส จะมีรายได้แบบนี้ 7 รหัส
จะมีรายได้เพิ่มเท่านั้นเท่านี้
คนส่วนมากกลัวว่าตัวเองจะมักน้อย ก็มักสมัครทีละหลายรหัสล่ะครับ
ผลก็คือ ทำให้มีของกองอยู่กับตัวมาก แต่ก็เป็นผลดีกับแม่ทีม เพราะว่า ถ้าเดือนนี้คนสมัคร
50 คน คนละ 7 รหัส ก็มีค่าพอ ๆ กับ คนสมัคร 350คน คนละ 1รหัส ทำให้รายได้เค้าไม่ร่วงลง
แน่นอน ดังนั้น เค้าจึงเน้นให้สมัครหลาย ๆ รหัส แต่ข้อเสียก็คือ คนส่วนมากจะสมัครซื้อของ
ที่มี PV สูง ๆ
เพื่อจะเซฟเงินตัวเองให้มาก เมื่อมีคนทำหลายคน ก็มักจะซื้อของเหมือน ๆ กัน ผลก็คือ ไม่
นานหรอกครับของจะเต็มเมือง เพราะธรรมชาติคนเมื่อลงเงินไปแล้วก็จะเอาของไปขายเอา
ทุนคืน เมื่อมีขายมาก ก็จะเริ่มมีการตัดราคากันเกิดขึ้น คนเหล่านี้ไม่สนหรอกครับ เพราะเค้า
ได้จากในระบบอยู่แล้ว
้เมื่อมีของขายข้างนอกมาก ๆ ราคาถูกกว่าสมาชิก คนใหม่ ๆ จะรู้สึกว่าตัวเองเสี่ยงแ่น่ถ้าจะ
สมัคร เพราะสมัครแล้วไม่รู้จะเอาของไปขายใคร คนส่วนมาก สามารถหาซื้อตามร้านค้าได้
เมื่อนั้นคนสมัครก็จะน้อยลง คราวนี้แม่ทีมจะเล่นแร่แปรธาตุแบบไหน ยอดก็ร่วงไปแล้วครับ
ไม่นานเค้าก็จะพากันไปหาบริษัทใหม่ แล้วก็โทษว่าสินค้ามีปัญหา
4. ซื้อตำแแหน่งได้
- แบบนี้ก็พัฒนาทีหลังครับ เริ่มใช้ คะแนนในการจับคู่ การซื้อตำแหน่งได้ เป็นการเอาใจคน
ที่ทำแผนสแตรสเต็ป ที่ขึ้นตำแหน่งกันยากๆ ทำให้ใครก็ขึ้นตำแหน่งสูงสุดได้ถ้ามีเงินใช้หลัก
การเดียวกันกับการทำหลายรหัส คือ จะทำยังไง ให้คนซื้อตำแหน่งขึ้นไวๆ โดยใช้เงื่อนไขข้อ
จำกัดในการรับรายได้
เช่น ถ้าำตำแหน่ง ซิลเวอร์ ใช้เงินลงทุนหลักพัน จะได้ไม่เกินวันละ... และได้ค่าแนะนำ 10%
แมทชิ่งไม่เกิน10 % 1ชั้น
แต่ถ้าเป็นตำแหน่ง ไดมอนด์ ใช้เงินประมาณ 2-3 หมื่น จะได้สูงสุดวันละ ..... และได้ค่า
แนะนำ 20% แมทชิ่ง 20 % 4ชั้น เป็นต้น
แต่ก็เหมือนข้อ3 ล่ะครับ เมื่อคนมาซื้อตำแหน่งแบบนี้ ก็เท่ากับ การซื้อของในปริมาณมาก
คนส่วนน้อยครับที่เอาของไปหมุน แนะนำคนต่อไปเรื่อย เพราะคนส่วนมากจะเอาไปขายครับ
ผลของมันก็จะเหมือนข้อ 3
ยิ่งสินค้ามีคนนิยม มีคนทำมากก็จะเริ่มตัดราคา และทำให้คนใหม่รู้สึกว่าเสี่ยงมาก ถ้าจะเอา
เงินไปลงมาก ๆ แบบนั้น แล้วเค้าจะไปขายที่ไหน
ส่วนการสะสมขึ้นตำแหน่ง ก็เป็นการปรับให้คนทำง่ายขึ้น เริ่มต้นน้อยๆ แต่ก็จะเริ่มยากสำหรับ
คนใหม่แน่ เพราะถ้าคนทำเยอะ ของวางขายเยอะ แล้วเค้าจะไปขายใครล่ะ? ต่อให้ซื้อใช้เอง
ก็จะทำให้เค้าขึ้นตำแหน่งช้า สูญเสียผลประโยชน์แน่นอน
ผลประโยชน์ที่ว่านั้นคือ การล้างคะแนนที่เกินออกมาเพราะไบนารี จ่ายเงินเร็วเกินไป ทำให้
ต้องมีการล้างรอบ ไม่งั้นจ่ายไม่ไหวแน่
นิสัยคนกลัวการสูญเสียครับ ย่อมเร่งอัพตำแหน่งตัวเองให้เร็วที่สุด
5. ให้สมาชิก เปิดโมบาย
-บริษัทขายตรงยุคใหม่ๆ มักเปิดกันถี่มากๆ ส่วนมากก็จะเป็นประเภทแม่ทีมจากบริษัทอื่นๆ
มาหุ้นกัน เปิดบริษัททำเอง (คนรู้จักผมก็เปิด)
ส่วนมากมักจะกู้เงินธนาคารมาแล้ว ต้องการทำเงินให้เร็วที่สุด จึงเลือกแผนการตลาดแบบ
ไบนารี (จดทะเบียนไม่ได้ ก็เปลี่ยนเป็นไตรนารี)
ดังนั้น การที่จะให้ธุรกิจตัวเองกระจายตัวเร็วที่สุด จะได้เงินกลับมาไวๆ ถ้าตัวเองจะเอาเงินไป
ทุ่มสร้างสาขาตามแต่ละจังหวัด คงกระจายตัวได้ช้า จึงกระจายความเสี่ยงด้วยการให้สมาชิก
เปิดโมบาย เพื่อจะเป็นศูนย์ตาม เมืองต่างๆได้เร็ว
กลายเป็นว่า สมาชิกต้องหาร้าน เช่าตึก มาเปิดเป็นศูนย์ และยังต้องลงทุนเป็นแสน เอาของ
มาสต๊อก เพราะได้% จากการขายสินค้าได้
นอกจากนั้น สมาชิกส่วนมากยังต้องมานั่งเฝ้าศูนย์ของตัวเองอีก หรือไม่ก็จ้างคนมาเฝ้า
เมื่อเกิดผลกระทบจากข้อ 3-4 ก็จะทำให้ ยอดแจงสินค้า น้อยลงๆ ของก็จะสต๊อคก็กับตัวเอง
เป็นแสนครับ คืนของก็ไม่ได้ โมบายเหล่านี้ ก็จะย้ายไปทำตัวใหม่ แล้วเอาของเหล่านี้ ไป
ระบายตัดราคา ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
จาก 5 ข้อ ที่กล่าวมา ทำให้ หมดเงินไปเท่าไหร่ครับ ไหนว่าธุรกิจเครือข่ายลงทุนน้อยไง
ไหนว่าธุรกิจเครือข่ายไม่ต้องมีหน้าร้านไง ไหนว่าธุรกิจเครือข่ายไม่ต้องจ้างใครไง แล้วเมื่อ
ไหร่จะมีอิสระภาพด้านเวลา
ผมขอสรุป สั้น ๆ ว่า การที่องค์กรจะล่มสลายนั้นก็เพราะ
-ไม่รักษายอด
-ระดมทุน
-สร้างความเสี่ยงให้กับสมาชิก
-การขึ้นตำแหน่งง่ายเกินไป ทำให้ ไม่มีการพัฒนาศักยภาพเท่าที่ควร
----------------------------------------------------------------
แผน ดูอัล ไลเนียร์: Dual linear ของเอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค
แผน เอมสตาร์เน็ทเวิร์ค คือ Dual linear ไม่ใช่ Binary
(แผน Dual linear นี้จะเรียกว่าไบนารี่แบบ weak team, strong team ก็ได้)
และเอมสตาร์แตกต่างจากไบนารี หรือแผน Maga Match ทั่วไป
นั่นคือ
1. การสมัคร ไม่มีการบังคับซื้อของ
-ทำให้รู้สึกว่าไม่เสี่ยงครับ คืออยากซื้อเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าสะสมคะแนนได้ 1000pv ภายใน
1 เดือนก็จะเป็นตำแหน่งซุปเปอร์ไวเซอร์
การขึ้นซุปเปอร์ไวเซอร์นั้นไม่ถือว่าเป็นการระดมเงินครับ เพราะเป็นการกรองคน เข้าทำธุรกิจ
ซะมากกว่า (ถ้าจะซื้อกินซื้อใช้อย่างเดียวก็แล้วแต่ไม่ขึ้นก็ไม่ได้บังคับกัน)
1000 pv นั้น เทียบเป็นเงินประมาณ 3000 บาทเท่านั้นเอง การให้เป็น ซุปก็เพื่อจะได้ใช้สินค้า
แล้วไปแนะนำต่อได้ (ถ้าจะทำเป็นธุรกิจก็ต้องขึ้นซุปเปอร์ไวเซอร์ก่อนจึงจะมีรายได้ 7 ทาง)
2. มีการซื้อซ้ำ (เป็นสินค้าจำเป็นต้องซื้อประจำอยู่ดี)
-ก็คือมีรักษายอดครับ การรักษายอดเป็นเงื่อนไขให้คนเก่าซื้อของซ้ำ เมื่อซื้อซ้ำ คุณถึงจะมี
รายได้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เกิดการซื้อซ้ำจากคนเก่า แล้วจะมีรายได้เพิ่มทุกเดือนได้อย่างไร
การรักษายอดของเอมสตาร์ จะรักษายอดโดยใช้เงินต่ำๆ แค่ 900 บาท/เดือนเท่าันั้นเอง
และคะแนนที่เกิดจากการรักษายอด ก็จะขึ้นที่จุดเดิม แล้วเอามาคำนวนเป็นรายได้หลัก
(ในแผน weak-strong)
ด้วยความที่ให้ซื้อแค่เดือนละ 900 ทำให้นักธุรกิจเอมสตาร์ไม่จำเป็นต้องรีบเอาของไปขาย
หรือระบาย ขายลดราคาที่ไหนครับ
แค่ซื้อใช้ก็พอแล้ว
แต่อาจจะเจอคำถามจากหลายคนได้ว่า ทำไมไม่ค่อยได้ยินชื่อ เอมสตาร์
เหตุผลก็เพราะ ไม่เจอของระบาดตามร้านค้าหรือ นักธุรกิจไปตื้อขายให้ใครมากครับ
ก็แผนมันไม่ทำให้คนคิดอยากทำสิ่งเหล่านั้นนี่นา
**การซื้อซ้ำของเอมสตาร์ ก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัทดัง ๆ ที่อยู่กันมานาน ๆ หรอกครับ คือให้
มีคะแนนจากคนเก่า ๆ ขึ้นจุดเดิม ๆ ทุกเดือน**
3.ทำได้แค่รหัสเดียว แนะนำได้ทั่วโลก (One Code One World)
-การสมัคร ได้แค่รหัสเดียวนั้น เป็นหลักการของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วไปในไทยและระดับโลก
เพราะแผนแมทชิ่งที่ จะส่งขึ้นมานั้นจะเกิดจากคนไม่ใช่จากตุ๊กตา
การที่ บริษัทอื่นให้สมัครหลายรหัส ก็เท่ากับเอาเงินไปลงเป็นตุ๊กตาเท่านั้น มีแต่คะแนนแต่
ไม่เกิดคนทำงาน รายได้จะมาแค่ช่วงต้น ๆ ครับ
และการทำ 1 รหัส จะทำให้ไม่เกิดการระดมทุนครับ ทุกคนเริ่มเท่ากัน จะมีเงินแค่ไหน
ก็เริ่มแค่นี้ล่ะ 3000 บาท
4. ซื้อตำแหน่งไม่ได้
-การขึ้นตำแหน่งของเอมสตาร์ ใช้หลักการเดียวกับ สแตร์สเต็ป คือต้องสร้างคน
การที่ลงทุนต่ำ ๆ ทำ 1 รหัสนั้น ทำให้หลายคนมีโอกาสเข้ามาในธุรกิจได้ง่าย ไม่ว่าจะ
ธุรกิจอะไร ก็จะมีคนทำงานกับคนไม่ทำงานครับ แต่ถ้าสมัครโดยใช้เงินน้อย ๆ จะทำให้
คนเ้ข้ามาในธุรกิจง่าย และกระจายตัวเร็ว แน่นอนครับถ้า 10 คน ก็จะเกิดคนทำงาน 1-2 คน
เท่านั้นเองตามกฏค่าเฉลี่ย ฉะนั้นใน 1 เดือน นักธุรกิจเอมสตาร์จะเปิดคนได้มาก เมื่อเปิดได้
มากก็จะเกิดผู้นำขึ้นมาก แม้ว่าถ้าเทียบอัตรารายได้ต่อคนที่แนะนำจะน้อยกว่าบริษัทอื่น
(ก็ลงทุนน้อยนี่) แต่การสร้างผู้นำเป็นสิ่งสำคัญกว่า เมื่อผู้นำเกิดเยอะธุรกิจจะโตขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่มีวันหยุด รายได้ก็จะโตเรื่อยๆครับ
--บริษัท 1 แนะนำคนละ 30000 บาท 1 เดือนจะแนะนำได้ 1 คน (ได้เงินเยอะจริง แต่ทีม
งานไม่แข็งแรง ต้องวิ่งไม่หยุด กว่าจะเจอผู้นำใช้เวลานาน)
-- บริษัท 2 แนะนำคนละ 3000 บาท 1 เดือนจะได้แนะนำได้ 10 คน (ได้เงินพอกัน แต่เกิด
ผู้นำในสายงาน เกิดการกระจายตัวต่อเนื่อง)
**การขึ้นตำแหน่งโดยใช้ความสามารถนั้น จะทำให้เกิดการพัฒนาศักยภาพตนเองมาก
กว่า การขึ้นตำแหน่งด้วยการใช้เงินซื้อ**
5. ไม่มีนโยบาย ให้สามาชิก เปิดโมบาย
- เอมสตาร์ เปิดธุรกิจโดยใช้เงินสดครับ ทุกสาขาในไทยและ ต่างประเทศใช้เงินสดเปิด
เอมสตาร์มี ระบบ BEC ที่ช่วยให้สมาชิกทุกคนซื้อของ จากที่ไหนก็ได้ ด้วยการโทรสั่งซื้อ
และทางอินเตอร์เน็ต
เมื่อสั่งซื้อแล้ว ของจะส่งถึงบ้านเลย (วัน/วัน) โดยที่ ของนั้นยังไม่ลงยอดให้ใครและเมื่อ
คนนั้นสปอนเซอร์ใคร ก็เอาของนั้นไปแจงเป็นยอดคน ๆ นั้นได้ทางอินเตอร์เน็ตเลย ระบบ
นี้ทำให้สมาชิก ไม่ต้อง ซื้อของมาสต๊อกไม่ต้องมีหน้าร้าน ทำงานได้ทุกที่ อยากซื้อเท่าไหร่
ก็โทรสั่งซื้อได้เลย
สรุปแล้ว
หลักการ ของเอมสตาร์ เป็นเหมือนหลักการของหลายๆบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่เน้นคอนเซ็ป
ของธุรกิจเครือข่าย นั่นคือ
-ลงทุนต่ำ
-สินค้าหลากหลาย เป็นสินค้าจำเป็นต้องใช้ (Consumer product) (สมาชิก จึงซื้อซ้ำ)
-ทำได้1รหัส
-ไม่ต้องมีหน้าร้าน
-ไม่ต้องจ้างคนมาดูแล
-มีการซื้อซ้ำ เพื่อสร้างเครืิอข่ายผู้บริโภคอย่างแท้จริง
อิสระภาพทางการเงินและเวลา จะเกิดเพราะสิ่งเหล่านี้นั่นล่ะครับ
เครือข่ายธุรกิจเอมสตาร์ “เป็นเครือข่ายผู้บริโภค” ไม่ใช่ “เครือข่ายนักขาย”
***ถ้าใครจะมาบอกว่า แผน 2 ขามันทำได้ไม่นาน ก็ขอให้วิเคราะห์ด้วยว่า เพราะอะไรนะครับ ***
**คนทำเอมสตาร์ ไม่มีใครเจ็บตัวครับ ไม่มีใครต้องหมดเงินเป็นแสน เพราะ 1 ปี ใช้เงินแค่
ประมาณ 13,000 บาท เท่านั้นเอง**
นี่แหละครับ ความต่างของเอมสตาร์กับไบนารี่ทั่วไป
1.Stair Step - ระบบผลต่างขั้นบันได
2.Stair Step - Brake Away ระบบแยกคะแนนออกจากกลุ่ม
3.Matrix – ขยายแนวกว้างเพื่อให้ได้ผลประโยชน์แนวลึก
4.Uni-Level – มองแต่ละชั้นเป็นหนึ่งหน่วย
5.Binary และ Trinary – แผนจับคู่
6.Party Plan – แผนลูกผสม
7.Dual Linear - ไบนารี่แบบ weak team, strong team
หรืออาจมีมากกว่านี้ ที่ยังไม่มีข้อมูล
1.Stair Step - ระบบผลต่างขั้นบันได
2.Stair Step - Brake Away ระบบแยกคะแนนออกจากกลุ่ม
3.Matrix – ขยายแนวกว้างเพื่อให้ได้ผลประโยชน์แนวลึก
4.Uni-Level – มองแต่ละชั้นเป็นหนึ่งหน่วย
5.Binary และ Trinary – แผนจับคู่
6.Party Plan – แผนลูกผสม
7.Dual Linear - ไบนารี่แบบ weak team, strong team
หรืออาจมีมากกว่านี้ ที่ยังไม่มีข้อมูล

สนใจเข้าร่วมธุรกิจ Interested to join Aim Star

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คุณสมบัติของผู้สมัคร

1. ผู้สมัครจะต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป หลักฐานที่ใช้ในการสมัคร
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรข้าราชการ (ถ้าเป็นข้าราชการต้องใช้สำเนาทะเบียนบ้านด้วย)


- สำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคาร (บัญชีออมทรัพท์ธนาคารพาณิชย์ใดก็ได้เพื่อใช้ในการโอนเงินเข้าบัญชี)
2. กรณีผู้สมัครอายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ต้องนำสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน ของผู้ปกครอง พร้อมเซ็นต์รับรองสำเนาถูกต้อง
อัตราค่าสมัครนัก ธุรกิจเอมสตาร์ 300 บาท
สนใจร่วมเรียนรู้ธุรกิจ
ติดต่อ โทร- 081-8230864 (แซม)
อีเมล์ cherrypowergroup@gmail.com
         (กรูณาติดต่อผ่านทางโทรฯ เพื่อส่งข้อมูลส่วนตัว)

แนวคิดนิทานเรื่อง “กบหูหนวก”

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มของเจ้ากบน้อยๆ กลุ่มหนึ่ง
ได้มาร่วมกันจัดการแข่งขัน
ปีนขึ้นไปบนยอดเสาเพื่อหาผู้นำของฝูง
เมื่อการแข่งขันได้เริ่มขึ้น กบตัวที่หนึ่ง ก็ปีนขึ้นไป
พวกฝูงกบข้างล่างก็ตะโกนขึ้นมาว่า ไม่สำเร็จหรอก เสานั้นมันสูงเกินไป
พอพูดไม่ทันจบประโยค กบตัวแรกก็รู้สึกเหนื่อยและท้อจนตกลงมา
กบตัวที่สอง ก็พยายามปีนขึ้นไป สักพักฝูงกบก็ตะโกนอีกว่า มันยากเกินไป
ไม่มีใครทำได้หรอก ไม่นานกบตัวนั้นก็ตกลงมาอีก
จนถึงตัวที่ สาม สี่ ห้า ก็เป็นเช่นเดิม
จนถึงกบตัวที่สุดท้าย มันตั้งหน้าตั้งตาปีนขึ้นไปสูงขึ้นสูงขึ้น
ฝูงกบข้างล่างยังตะโกนเหมือนเช่นเดิมว่า ลงมาเถอะ ไม่มีใครทำได้หรอก
แต่กบตัวนี้ยังปีนขึ้นไปปีนขึ้นไป จนในที่สุดมันก็ปีนไปถึงยอดเสาได้

เพื่อนๆอยากรู้ไหมครับว่าทำไมกบตัวนี้ถึงสามารถปีนถึงยอดเสา
ไม่เหมือนกบที่ตกลงมาตัวแล้วตัวเล่า
ที่ปีนไปได้เพราะมันหูหนวกไม่ได้ยินเสียงที่เพื่อนพ้องกบตะโกนเรียกให้ลงมา

นิทานเรื่องนี้จึงบอกให้รู้ว่า
คำพูดนั้นมีพลังอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถจะดึงความฝัน ความหวัง
ความปรารถนาในหัวใจ ของคนเราให้สูญสิ้นหมดไปได้
เพราะฉะนั้นแล้ว ควรที่จะเลือกเก็บแต่คำพูดที่ทำให้หัวใจเราชุ่มชื่น
และเลือกละเลยคำพูดที่ทำให้กำลังใจเราเหือดแห้งหมดหวัง
และเหนือสิ่งอื่นใด หากมีความหวังเกิดขึ้นแล้ว
ขอให้เชื่อมั่นในศักยภาพและเป็นตัวของตัวเอง
และตัวเราเองก็ควรเลือกที่จะพูดในสิ่งที่ทำให้หัวใจชุ่มชี่นแกคนรอบข้างเราเช่นกัน
สรุป คือ
อย่าฟังคำพูดในด้านลบ หรือการมองในแง่ลบ จากคน
อื่น...…เพราะเขาเหล่านั้นจะดึงความฝัน ความปรารถนาใน
หัวใจของคุณออกไป!
ให้ระวังในพลังของคำพูดเสมอ เพราะทุกสิ่งที่คุณได้ยิน
และได้อ่าน มันจะส่งผลต่อการกระทำของคุณ!
เพราะฉะนั้น:ตลอดเวลา ขอให้เป็นคนคิดบวก!
และเหนือจากนั้น:
จงทำหูหนวก ต่อคำพูดของผู้คนที่บอกว่า คุณไม่สามารถ
ทำความฝันของคุณให้เป็นจริงได้!

ให้คิดเสมอว่า
คุณสามารถทำมันได้! You Can Do it. Cheer!

นิทานธุรกิจเครือข่าย Passive income

คุณเข้าใจ Active income และ Passive income แค่ไหน?
คุณเข้าใจคำว่า "เราวิ่งหาเงิน หรือเงินวิ่งมาหาเรา" แค่ไหน?
คุณเข้าใจคำว่า "เอาแรง/เวลาแลกกับเงิน กับเอาปัญญา/ระบบแลกกับเงิน" ขนาดไหน?
นิทานเรื่องนี้จะทำให้คุณเข้าใจมากขึ้น จะทำให้คุณ"ตัดสินใจบางสิ่งบางอย่างเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น"

ปัจจุบัน คุณเป็น "นายอ้วนหรือนายผอม" ในนิทานเรื่องนี้?



เมื่อก่อนผมก็เคยคิดในแบบของคนทำงาน ที่คิดว่าถ้าอยากได้เงินเยอะ ก็ต้องทำงานมากขึ้นซิ
ถึงจะถูก แต่พอดู vdo นี้จบก็เริ่มคิดได้ว่า มันคงไม่ใช่แล้วมั้ง ผมจึงเริ่มแสวงหา สิ่งที่จะทำให้
คนธรรมดาอย่างผม สามารถสร้างท่อส่งน้ำกับเขาได้บ้าง ผมลองมาหลายอย่าง
ตั้งแต่ เปิดร้านค้าเอง หรือทำธุรกิจส่วนตัว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนได้มาเจอกับสิ่งที่ทุกคน
ได้ยินแล้วได้แต่ยี้ กับคำว่า “ธุรกิจเครือข่าย” ผมค่อนข้างใหม่มากๆ กับธุรกิจนี้
แต่เพราะผมมองเห็นช่องทางและเปิดใจว่า มันสามารถให้ “อิสรภาพทางการเงิน” กับผมได้จริง
ผมจึงเริ่มศึกษา ทดลองทำมาหลายๆตัว หลายๆอย่าง มีผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่ผมก็ไม่ท้อ ผมเก็บสิ่ง
เหล่านั้นมาเป็นประสบการณ์
100 คนคิด 10 คนทำ 1 คนสำเร็จ
ผู้คนส่วนใหญ่กระโดดเข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย ทำได้สักระยะ พอพบเจอกับอุปสรรค ปัญหาต่างๆ
ก็ล้มเลิกความตั้งใจไป ดังนั้นถ้าหากเราคิดว่าจะเข้ามาทำธุรกิจนี้แล้ว ก็อยากให้ทุกๆ คนเข้าใจ
ธรรมชาติของมันด้วย ธรรมชาติของมันมีอะไรบ้าง

1. มีคนปฏิเสธมากกว่าเห็นด้วย
ธุรกิจ เครือข่ายเป็นการทำงานที่อยู่กับหลักสถิติ และ ค่าเฉลี่ย เป็นไปไม่ได้หรอกครับ
ที่เราแนะนำแล้วเขาสนใจทั้งหมด แนะนำ 100 เห็นด้วยสัก10 ถือว่าโอเคแล้ว แล้ว 10 อาจ
จะทำจริง แค่ 1 เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจนะครับว่าโปรโมทแนะนำไปแล้ว ทำไมไม่มีผลตอบ
รับให้กลับมาดูที่ตัวเรานะครับว่าเราทำมันมากแค่ไหน

2. มีคนออกจากองค์กร
เมื่อ คุณมีดาวน์ไลน์คุณเริ่มมีความหวัง มีกำลังใจ แต่ถ้าดาวน์ไลน์ของคุณเกิดไม่อยากทำ หรือ
เลิกทำล่ะ หลายคนจิตตก ท้อแท้ แล้วก็เลิกตามดาวน์ไลน์ไปเลย อย่าลืมนะครับ ดาวน์ไลน์เลิก
ทำไม่น่ากลัวกว่าเราเลิกทำซะเองนะครับ เพราะถ้าเรายังไม่เลิก เรายังมีโอกาสสำเร็จ

3. ให้เวลากับธุรกิจ
ธุรกิจ เครือข่ายธ(ธุรกิจสร้างท่อน้ำ)เป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการเติบโต ในช่วงแรกๆ
ของการทำจะค่อนข้างช้า เพราะคนในองค์กรยังน้อย คุณจะยังไม่เห็นความเปลี่ ยนแปลงเพียง
แค่ 2-3 เดือนแรกหรอกครับ จนกว่าจะถึงจุดหนึ่งที่จำนวนคนในองค์กรของคุณมีมากและเกิด
แรงเหวี่ยง ความสำเร็จจะวิ่งเข้ามาหาคุณอย่างรวดเร็ว หลายคนรอคอยไม่ไหว ก็เลิกไปก่อนทั้งๆ
ที่อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว คุณลองให้เวลากับธุรกิจนี้ ทำต่อเนื่องแบบไม่หยุดสักปี หรือ 2 ปี
ซิครับ รับรองว่าคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลง
ถ้าหากคุณท้อแท้ หรือ อยากที่จะเลิกทำ อยากให้คุณดูว่าคุณแพ้ธรรมชาติของมันหรือเปล่า
แต่ถ้าคุณเข้าใจธรรมชาติของมัน คุณจะเป็นคนหนึ่งที่ทำธุรกิจด้วยความสนุก และ มีความสุข
กับการทำงาน ผมอยากให้ทุกคน
ขอให้ เชื่อมั่น ในตัวเอง และมุ่งมั่นไปข้างหน้า อย่าหันหลังไปเด็ดขาด ในเมื่อเรามาถึงจุดๆ
นี้แล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณ จะไม่ได้ อะไรกับมันเลย

นิทานเรื่อง หินวิเศษ

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นานมาแล้ว มีหินวิเศษก้อนหนึ่งผู้ใดได้ครอบครอง เมื่อนำไปแตะสิ่งของใด สิ่งของนั้นจะกลายเป็นทอง มีชายคนหนึ่ง สนใจในหินวิเศษนี้เพราะต้องการที่จะร่ำรวย จึงตามหาหินก้อนนั้นเป็นการใหญ่ ตามหาจนถึงชายหาดแห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยก้อนหิน เขาตัดสินใจหยิบหินมาดูที่ละก้อน ถ้าก้อนไหนไม่ใช่ ก็จะขว้างมันลงทะเลไป เขาใช้ความพยายามจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี หินก้อนแล้วก้อนเล่าได้ ผ่านมือของชายผู้นี้ แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ค้นหาอยู่ดี
...และในที่สุด ความพยายามของเขาก็ประสบผลสำเร็จเขาได้พบกับหินวิเศษจริง ๆ แต่ไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไร เขาก็ขว้างมันลงทะเล...
ไปเหมือนก้อนหินที่ผ่าน ๆ มาเขาตกใจมาก จึงรำพันออกมาว่า " ต้องเริ่มต้นใหม่อีกแล้วหรือเนี่ย
" ในชายหาดจะมีก้อนหินวิเศษสักกี่ก้อนเชียว ...เหตุผลที่ทำให้ชายคนนี้ละทิ้งสิ่งที่เขาค้นหามานานก็คือ " ความเคยชิน " นั่นเอง บ่อยครั้งที่เราพยายามค้นหาสิ่งที่ต้องการ มาตลอดชีวิต จนกระทั่ง วันหนึ่งที่เรามี โอกาส พบมันแล้วแต่ด้วย ความเคยชิน
...ในชีวิตประจำวันเราก็มองข้าม โอกาส นั้นไป โอกาส ที่อาจจะไม่ปรากฏบ่อยนัก เราจึงต้องเริ่มต้นใหม่อยู่ร่ำไป
...อย่าคิดแต่จะเริ่มต้นใหม่ เพราะสิ่งที่มีอยู่คือ โอกาส สิ่งใหม่คือ ความหวัง อย่าปล่อยให้ โอกาส ที่มีอยู่แล้ว หลุดลอยไป แล้วมัวแต่รอความหวังที่ยังมาไม่ถึง

ณ วันนี้ Aim star ได้นำโอกาสนี้มาถึงทุกท่านแล้ว โปรดอย่าปล่อยให้มันหลุดมือไป เหมือนหินวิเศษที่เราปล่อยมันทิ้งไปนะครับ

จุดเด่นของธุรกิจเครือข่าย

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

1. คือ Win – Win Business (ธุรกิจที่ชนะกับชนะ)เมื่อคนที่ท่านแนะนำธุรกิจ (ลูกทีมของท่าน) สำเร็จท่านในฐานะผู้แนะนำ…. จึงจะ….
สำเร็จด้วย คุณจะประสบความสำเร็จบนความสำเร็จของทีมงาน
2. คือ Low – Risk High Return Business (ธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง)
ด้วยขนาดเงินลงทุนต่ำ แต่ใช้สัมพันธภาพสูง ใช้เวลาสักระยะ คุณก็จะได้รับผลตอบแทนจากสิ่งที่
คุณลงมือทำเหมือนปลูกต้นไม้ใหญ่เมื่อถึงเวลาจึงจะเก็บเกี่ยวได้
ท่านไม่ต้องลงทุนสร้างทรัพย์สิน อาคาร, อุปกรณ์, ที่ดิน (บนกองหนี้สินหรือเงินกู้) แต่ท่าน….
กำลัง….สร้างทรัพย์สินคือ
เครือข่ายประชากร (People Assets) ที่…. ผูกโยง กันด้วยสัมพันธภาพ
และ…. ได้ผลตอบแทนจากทรัพย์สินบนบันทึกข้อตกลง ผลประโยชน์ร่วมกัน! และ….
ผลตอบแทนนี้ได้มาจาก ผลรวมของทั้งเครือข่าย
บางคน….เรียกผลตอบแทนนี้ว่า Passive income (รายได้ที่ไม่ต้องลงแรงด้วยตนเอง แม้ว่า
คุณจะหยุดทำงาน แต่รายได้ ของคุณยัง เกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดเวลา)


3 ) เปิดโอกาสให้กับทุกคนที่อยากเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นคนในด้าน E และ S
มาเป็นคนในด้าน B ธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่เปิดโอกาสให้กับคนทุกคนให้สามารถเป็นเจ้าของ
ทรัพย์สินที่สร้างรายได้ให้กับตนเองได้เหมือนเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ ( แบบคนกลุ่ม B )
และได้รับความสำเร็จในชีวิตแบบที่คนกลุ่ม B ได้รับ โดย ที่ไม่ต้องใช้ปัจจัยและองค์ประกอบใน
การทำธุรกิจมากมายเหมือนที่คนกลุ่ม B ที่แท้จริงทำ
4 ) สร้างความมั่นคงให้กับชีวิต
คนส่วนใหญ่ในสังคมจะเป็นคนที่จัดอยู่ในกลุ่ม E และ S คือเป็นลูกจ้าง, พนักงาน, ทำธุรกิจ
ส่วนตัวหรือเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็ก ซึ่งคนในกลุ่มนี้จะต้องใช้เวลาและแรงงานทั้งหมดของตน
เองเพื่อแลกกับรายได้
ดังนั้นถ้าหากในวันใดหรือช่วงเวลาใดไม่สามารถทำงานได้
วันนั้นหรือช่วงเวลานั้นก็จะไม่มีรายได้ เพราะรายได้ทั้งหมดของเขาจะขึ้นอยู่กับการทำงานด้วยตัว
ของเขาเองเพียงคนเดียว ซึ่งจัดได้ว่าเป็นการดำรงชีวิตที่มีความเสี่ยงและไม่มีมั่นคงในชีวิตจริงๆ
อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ซึ่งจะแตกต่างจากเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีแนวคิดในการทำงานเพื่อ
สร้างทรัพย์สินเช่น บริษัท, โรงงาน, เครื่องจักร, ฯลฯ หลังจากนั้นจะให้ทรัพย์สินเหล่านั้นทำ
งานเพื่อสร้างเงินให้ เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่จึงมีอิสรภาพทางการเงินและเวลาและมีความมั่นคง
ในชีวิต เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำงาน แต่ก็จะยังคงได้รับรายได้อย่างสม่ำเสมอ จากทรัพย์สินที่ทำ
งานและสร้างเงินให้เขาตลอดเวลา การทำธุรกิจเครือข่ายเป็นการทำธุรกิจที่มีแนวความคิดแบบ
เดียวกับเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ คือ เน้นการสร้างทรัพย์สิน
แต่ทรัพย์สินในธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่เครื่องจักร หรือโรงงาน แต่เป็นองค์กรเครือข่ายผู้บริโภคซึ่ง
เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในระบบการตลาดเครือข่ายผู้บริโภค (Consumption Network Marketing)
5) เป็นงานที่ผ่อนแรง
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในธุรกิจทั่วๆไป มักเกิดจากการทำงานอย่างทุ่มเทของเจ้าของกิจการ
หรือผู้บริหารของกิจการเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียว ซึ่งกว่าจะประสบความสำเร็จได้เจ้าของ
กิจการจะต้องทุ่มเทกำลังความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่ ซึ่งต่างจากธุรกิจเครือข่ายที่ความ
สำเร็จที่เกิดขึ้นในธุรกิจ จะเกิดจากพลังการขับเคลื่อนของทีมงานทั้งหมดในองค์กรของคุณ
โดยคุณไม่จำเป็นต้องลงมือทำงานทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวเหมือนกับการเป็นเจ้าของ
ธุรกิจทั่วไป
ดังนั้นทุกคนจึงทุ่มเทกับการสร้างและทำธุรกิจเครือข่ายของตนเองอย่างเต็มที่ซึ่งผลของความ
สำเร็จของทีมงานของคุณทุกคนจะเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของคุณด้วย เปรียบเสมือนกับ
คุณมีผู้ช่วยที่จะสร้างความสำเร็จให้กับตัวคุณมากมายโดยที่คุณไม่จำเป็นต้องลงมือทำทุกอย่าง
ด้วยตนเองคนเดียว แต่คุณก็ยังสามารถได้รับรายได้และความสำเร็จในระดับสูงเหมือนเจ้าของ
ธุรกิจขนาดใหญ่ที่ประสบความสำเร็จแล้วได้รับกัน
6 ) ร่นระเวลาของความสำเร็จ
การที่จะสามารถพบกับความสำเร็จในอาชีพการงานของคนๆหนึ่งนั้น ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นจากการ
เรียนรู้ ทดลองปฎิบัติ ศึกษาข้อผิดพลาด แก้ไขปัญหา และทำซ้ำจนเป็นผู้เชี่ยวชาญในอาชีพ
แล้วยังต้องรวมถึงการมีความรู้ความเข้าใจในองค์ประกอบปลีกย่อยต่างๆที่มีความสัมพันธ์กับงาน
ที่ทำอยู่ ซึ่งผู้ที่จะสร้างความสำเร็จให้กับชีวิตได้ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นพนักงานหรือเป็นผู้ประกอบ
ธุรกิจ เกือบทั้งหมดมักจะต้องใช้องค์ประกอบของการประสบความสำเร็จที่สำคัญคือความขยัน,
อดทน, อดออมและการทำงานหนัก ของตนเองเป็นหลักและกว่าจะสร้างความสำเร็จให้กับชีวิตได้
อาจต้องใช้ระยะเวลา 15-20 ปี หรือบางคนอาจจะไม่เคยพบกับคำว่าความสำเร็จตลอดชีวิตของ
ตนเองเลยก็เป็นได้แต่ในธุรกิจเครือข่ายคุณสามารถใช้องค์ประกอบแบบเดียวกันนี้ร่นระยะเวลา
ความสำเร็จให้กับชีวิตของตนเองได้ภายใน 2 – 5 ปี เนื่องจากทั้งตัวคุณและทีมงานทุกคนที่อยู่
ในองค์กรของคุณต่างก็มีเป้าหมายและแนวทางในการทำงานแบบเดียวกัน ซึ่งคุณในฐานะเจ้าของ
เครือข่ายจะสามารถได้ รับผลของความสำเร็จของทีมงานที่อยู่ในองค์กรของคุณด้วย
7 ) เป็นงานที่ยืดหยุ่นไม่มีกำหนดระยะเวลา ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความตั้งใจ
ในการทำธุรกิจเครือข่าย คุณคือเจ้าของธุรกิจ ความสำเร็จทั้งหมดของธุรกิจขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่น
และความพยายามของคุณ ถ้าหากคุณต้องการประสบความสำเร็จเร็ว เพียงคุณวางแผนการทำงาน
อย่างถูกต้องและทุ่มเทให้กับการทำธุรกิจอย่างเต็มที่คุณจะสามารถจะประสบความสำเร็จได้ภายใน ระยะเวลาอันรวดเร็วอย่างที่คุณต้องการ และหากคุณมีเวลาว่างที่จำกัดในแต่ละวัน คุณสามารถที่
จะเลือกทำธุรกิจเป็นงานเสริมในเวลาที่คุณสะดวก หรือในเวลาที่คุณต้องการได้โดยไม่กระทบกับ
งานประจำที่คุณทำอยู่ ขอเพียงคุณตั้งใจและมีความสม่ำเสมอในการทำธุรกิจคุณจะสามารถประสบ
ความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายอย่างที่คุณต้องการได้
8 ) เป็นธุรกิจที่ท่านสามารถเลือกเวลาทำงานตามใจปรารถนา
ไม่ต้องตอกบัตรเข้างาน 8.00 น. ไม่ต้องตอกบัตรออกงาน 17.00 น. ไม่ต้องยื่นใบลากิจ,
ลาพักร้อนกับใคร นอกจากขออนุญาตตัวเอง!
เป็นเจ้านายงานในเวลาของตนเอง (Time Freedom) นั่นคือ… มีอิสระภาพทางเวลา!
9).เป็นธุรกิจที่กำลังอยู่ในทิศทางใหม่ของโลก
เพื่อให้ท่านได้มีเวลา อยู่กับครอบครัวให้มากขึ้น(Home Based Business)
เพราะ ธุรกิจนี้ทำบนโต๊ะอาหารภายในบ้านของท่าน และบ้านของคนใน เครือข่ายได้
10) เป็นธุรกิจที่ต่อเชื่อมท่านเข้ากับธุรกิจ ข้ามชาติระดับโลก
ท่านไม่ต้องสร้างระบบใหม่ ด้วยตนเอง แต่ดำเนินตาม, ปฏิบัติตามแบบแผนธุรกิจ
(Business – format) ที่วางไว้อย่างดีเป็นแบบเดียวกันทั่วโลก
(บางคนเรียกว่าเครือข่ายของแฟรนไชส์ ระดับเล็กๆ หรือระดับบุคคล มาผูกโยงเชื่อมกัน
(Network of Micro or Personal Franchisee)แต่ไม่ต้องจ่ายค่ารอยัลตี้
(Royalty fee) ใดๆ เลย
11) เป็นระบบธุรกิจเดียวที่ผลงานแห่ง ความพากเพียร ของท่าน
จากการทำงานวันละ 2 ชั่วโมง สามารถทวีคูณไปเป็น วันละ 2,000 ชั่วโมง, 20,000 ชั่วโมง….
แปรผัน…. ตามความใหญ่โตของ เครือข่ายของท่าน และ….
เมื่อท่านสามารถสร้างสินทรัพย์ (People Assets) เครือข่ายอย่างมีคุณภาพ ท่านก็สามารถ
ทำงาน เต็มที่เพียง 3 – 5 ปี เพื่อรับบำนาญติดต่อกันไปตลอดชีวิต
และมอบเป็นมรดกให้แก่ลูกหลานสืบไป.
12 ) เครือข่ายเป็นทรัพย์สินที่สร้างตัวเองให้เพิ่มพูนขึ้นได้ด้วยตัวเองตลอดเวลา
ธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่มีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากธุรกิจแบบอื่นทั่วๆไปในด้านการเจริญเติบโต
ของตัวธุรกิจ ซึ่งในธุรกิจแบบทั่วๆไปเมื่อคุณเริ่มต้นการทำธุรกิจโดยการเป็นเจ้าของกิจการ คุณทำ งานเพื่อสร้างทรัพย์สินขึ้นมาจำนวนหนึ่ง
ในธุรกิจเครือข่ายเมื่อคุณสร้างองค์กรเครือข่ายผู้บริโภคขึ้นมาจำนวนหนึ่ง และมีการบริโภค
ผลิตภัณฑ์ภายในองค์กรซึ่งก่อให้เกิดรายได้ให้กับตัวคุณ และคุณสอนทีมงานในองค์กรของคุณถึง
วิธีการสร้างและขยายธุรกิจออกไป ทีมงานในองค์กรของคุณจะเรียนรู้และทำตามที่คุณแนะนำโดย
สร้างและขยายธุรกิจของเขาออกไป และเขาจะทำเหมือนที่คุณทำโดยการสอนลูกทีมในองค์กร
ของเขาให้สร้างและขยายธุรกิจของลูกทีมในองค์กรของเขาออกไปอีก
ซึ่งทั้งหมดก็คือคนในองค์กรของคุณที่จะขยายเครือข่ายเพิ่มมากขึ้นและมีจำนวนสมาชิกที่เพิ่มมาก
ขึ้นไปเรื่อยๆ โดยคุณไม่ต้องสร้างทีมงานด้วยตัวคุณเองอีกแต่ก็สามารถได้รับรายได้จากการบริโภค
และการทำธุรกิจของจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดในองค์กรของคุณได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด มีผล
กำไรงอกเงย ขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง/วัน ตลอด 365 วัน/ปี แม้ท่านเองจะหยุดพักผ่อน,
หยุดพักร้อน เพราะเวลาทำงานภายในเครือข่ายของท่าน อาจอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง ซึ่งกำลังทำงาน
อยู่ในขณะที่ท่านนอนหลับซึ่งกำลังทำงานอยู่ในขณะที่ท่านหยุดพักร้อน
13 ) ได้รับอิสรภาพทางการเงินและเวลา
การทำธุรกิจเครือข่ายคือการเลือกก้าวเข้าสู่การเป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่เพื่อสร้างความ มั่นคงและมั่งคั่งให้กับชีวิตโดยอาศัยหลักการของการสร้างรายได้แบบยั่งยืนที่สำคัญ 3 ประการ คือ
การผ่อนแรง, ระบบสร้างความสำเร็จทางธุรกิจโดยการลอกเลียนแบบและทำซ้ำ หรือ
ระบบแฟรนไชส์ และการเติบโตแบบพหุคูณ
ซึ่งผู้ที่ทำธุรกิจอย่างถูกต้อง มีความมุ่งมั่นและอดทน จะสามารถประสบความสำเร็จในการสร้าง
เครือข่ายได้ภายใน 1 – 2 ปีโดยจะสามารถสร้างองค์กรให้เกิดสมาชิกจำนวนหนึ่งที่จะสร้างราย
ได้จำนวนมากให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของเครือข่ายและจะใช้เวลาอีก 2 – 3 ปี
เพื่อสร้างธุรกิจให้มีความมั่นคง
14) เป็นมรดกให้ลูก, หลานได้
เมื่อคุณประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจเครือข่าย และมีองค์กรที่สร้างรายได้จำนวนมากให้กับ
คุณทุกเดือนจากการบริโภคและทำงานของทีมงานในองค์กรของคุณ หากคุณต้องการเกษียณตัว
เองจากการทำธุรกิจ คุณสามารถที่จะส่งมอบธุรกิจนี้เป็นมรดกให้กับลูก หลาน หรือคนที่คุณรัก
ให้รับช่วงต่อจากคุณได้เหมือนกับทรัพย์สินอื่นๆที่คุณมอบให้ โดยผู้ที่รับมอบไม่จำเป็นที่จะต้องมี
ความรู้ความสามารถในการทำธุรกิจเครือข่ายเหมือนกับที่คุณมีแต่เขาเหล่านั้นก็ยังสามารถจะได้รับ
ผลประโยชน์ทั้งหมดที่เกิดจากองค์กรธุรกิจเครือข่ายที่คุณสร้างไว้อย่างที่คุณเคยได้รับ
เพียงแค่ให้ผู้ที่ได้รับมอบผลประโยชน์ทางธุรกิจทำการรักษาคุณสมบัติตามที่บริษัทกำหนดไว้ใน
แต่ละเดือนให้ครบถ้วนก็เพียงพอที่จะได้รับรายได้ทังหมด ที่เกิดจากองค์กรเครือข่ายของคุณ
15 ) การได้พัฒนาตนเอง
การเข้าสู่ธุรกิจเครือข่ายเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ระบบธุรกิจอีกรูปแบบหนึ่งที่มี
องค์ประกอบที่สำคัญหลายส่วนในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งธุรกิจเครือข่ายเป็น
ธุรกิจที่มีความสวยงามอยู่ในตัวของธุรกิจเองทั้งในเรื่องของรายได้, การทำงานเป็นทีม,
การสร้างความสัมพันธ์ของคนในทีมงาน, การช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิก การ
พัฒนาความรอบรู้ในด้านต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ทั้งในสังคมและในการทำธุรกิจ ซึ่งในบริษัท
ที่ดำเนินธุรกิจเครือข่ายจะพยายามส่งเสริมสมาชิกให้ได้เรียนรู้และได้พัฒนาศักยภาพของตน
เพื่อนำเอาความรู้ความสามารถ ที่มีอยู่ให้นำออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ โดยการจัดการอบรมด้วย
โปรแกรมการฝึกอบรมต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะการทำงานใหม่ๆที่จำเป็นแก่สมาชิก
เพื่อให้สมาชิกมีการพัฒนาตนเองขึ้นทั้งในด้านความคิด, ทัศน์คติ และบุคลิกภาพ ดังนั้นผู้ที่
เข้ามาในระบบธุรกิจเครือข่ายจะได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถที่สูงขึ้นกว่าเดิมใน
ขณะเดียวกัน
16 ) ได้รู้จักและร่วมงานกับผู้คนมากมายหลากหลายสาขาอาชีพ
เนื่องจากธุรกิจเครือข่ายเป็นระบบธุรกิจแบบเปิด ซึ่งเปิดกว้างให้กับบุคคลทั่วไปที่สนใจใน
โอกาสทางธุรกิจสามารถเข้ามาร่วมทำธุรกิจนี้ได้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่คุณจะมีโอกาสที่จะได้
พบปะกับผู้คนมากมายที่มาจากหลากหลายสาขาอาชีพที่ได้เข้ามาร่วมอยู่ในธุรกิจเครือข่ายเดียว
กันซึ่งการได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์ ในด้านการทำงานของบุคคลใน
อาชีพต่างๆ ของสมาชิกแต่ละท่าน จะทำให้คุณได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และได้เปิดโลกทัศน์ให้กว้าง
ขึ้นจากประสบการณ์ชีวิตของสมาชิกท่านอื่นๆในแต่ละสาขาอาชีพ

การสัมภาษณ์พิเศษของโรเบิร์ต คิโยซากิ

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

(เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยอ่าน หรือไม่เคยรู้ "เรื่องเงินสี่ด้าน")

โรเบิร์ต คิโยซากิ

สิ่ง ที่คุณกำลังจะได้รับฟังต่อไปนี้ เป็นการสัมภาษณ์พิเศษของนักธุรกิจผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีชื่อเสียง นักลงทุน ผู้บรรยาย และผู้แต่งหนังสือขายดีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกถึง 10 เล่ม

โรเบิร์ต คิโยซากิ เกิดและเติบโตในฮาวาย เขาเรียนรู้ธุรกิจจากคน 2 คน คนแรกคือพ่อจนผู้ซึ่งมีความรู้สูง เป็นข้าราชการเงินเดือนสูงและเป็นพ่อแท้ ๆ ของเขาเอง และอีกคนหนึ่งคือ พ่อรวย เป็นนักธุรกิจร้อยล้าน ซึ่งออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมสองเท่านั้น เป็นพ่อของเพื่อนสนิทของเขาเอง

ประสบการณ์ปัญหาด้านการเงินตลอดชีวิตของพ่อจน ทำให้คำสอนพ่อรวยของโรเบิร์ต ถูกสนับสนุนมากยิ่งขึ้น ที่ว่า “คนจนและคนชั้นกลางทำงานเพื่อเงิน ในขณะที่คนรวยใช้เงินทำงาน” หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จเป็นนักขายที่มียอดการขายสูงอันดับหนึ่งในบริษัท XEROX โร เบิร์ตเริ่มต้นทำตามความปรารถนาของเขาที่จะมีอิสรภาพทางการเงิน เขาเริ่มสร้างธุรกิจข้ามชาติมูลค่าเป็นล้านๆ เหรียญสหรัฐอยู่หลายธุรกิจ และท้ายที่สุดก็สามารถเกษียณอายุได้ด้วยอายุเพียง 47 ปี เขาต้องการทำตามความเชื่อของเขาที่ความปรารถนาจะสอนผู้อื่นให้เป็นผู้ร่ำรวย และสามารถค้นหาธุรกิจที่พวกเขาต้องการได้

• ในปี 1997 (พ.ศ. 2540) โรเบิร์ตได้เขียนหนังสือขายดี โด่งดังไปทั่วโลกเล่มแรก ชื่อพ่อรวยสอนลูก (Rich Dad Poor Dad) และได้ออกแบบเกมกระแสเงินสด (Cashflow 101 หรือเกมส์แข่งหนู)
• J.P. Morgan นักข่าวหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ได้พูดถึงหนังสือ พ่อรวยสอนลูกว่า “เป็นหนังสือที่ต้องอ่านสำหรับผู้ต้องการเป็นเศรษฐี”
• และหนังสือพิมพ์ USA. Today เรียกหนังสือนี้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของทุกคน ที่ต้องการควบคุมสถานการณ์ทางการเงินในอนาคตของเขาเอง

โรเบิร์ต ได้เขียนหนังสือ Rich Dad’s Cash Flow Quadrant (พ่อรวยสอนลูก เล่ม2 เงินสี่ด้าน) , Rich Dad’s Guide To Investing (พ่อรวยสอนลงทุน), Rich Kid Smart Kid (สอนลูกให้รวย) หนังสือที่ขายดีในทุกประเทศ และที่กำลังออกมาใหม่ล่าสุด Retired Young Retired Rich “เกษียณเมื่อหนุ่ม เกษียณอย่างร่ำรวย” ข้อเสนอแนะของโรเบิร์ตชัดเจนเข้าใจง่ายนั้นคือ คุณจะยอมรับผิดชอบต่อสถานการณ์ทางการเงินของคุณเองหรือจะยอมรับคำสั่งของคน อื่นๆไปตลอดชีวิต “คุณต้องการที่จะเป็นเจ้านายของเงิน หรือจะยอมเป็นทาสของเงิน” และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาให้สัมภาษณ์พิเศษ เสนอทางเลือกของเขาในการที่จะเกษียณขณะที่ยังหนุ่มและเกษียณอย่างร่ำรวย

MC: คุณโรเบิร์ต ขอบคุณมากครับที่ให้เกียรติในวันนี้ เป็นที่กระจ่างชัดว่ามีคนเป็นล้านๆ คน ได้รับความรู้และประโยชน์ จากหนังสือและเทปของคุณ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้อ่าน “พ่อรวยสอนลูก” “เงินสี่ด้าน” หรือ “Cash Flow Quadrant” ขอให้คุณกรุณาช่วยอธิบายเกี่ยวกับเงินสี่ด้าน Cash Flow Quadrant ว่าคืออะไรสักเล็กน้อยได้ไหมครับ?
ผมอยากให้ท่านผู้ฟังทุกท่านลองนึกวาดภาพตามดังนี้นะครับ สัญลักษณ์เครื่องหมายกากบาท มุมบนด้านซ้าย คือตัวอักษร E ใต้ลงมาคือ S มุมขวาด้านบน คือ B และมุมที่เหลือ คือ I คุณโรเบิร์ตช่วยกรุณาอธิบายได้ไหมครับว่ามันหมายถึงอะไรครับ?
Robert: ลำดับแรก
E หมายถึง Employee ลูกจ้าง
S หมายถึง Self Employ/Small Business ธุรกิจส่วนตัว ,
B หมายถึง Business Owner/Big Business เจ้าของกิจการ เช่น ไมโครซอฟ, อินเทล และ
I หมายถึง Investor นักลงทุน
พ่อจนของผมและคนส่วนใหญ่ได้ถูกสอนมาให้ “ไปเรียนหนังสือ และออกมาหางานทำ” พ่อจนของผมได้โปรแกรมผมให้อยู่ด้าน E หางานที่มั่นคง ทำงานหนัก เพื่อเงินบำนาญ สวัสดิการ
S หมายถึง Small Business หรือ Self Employed ธุรกิจส่วนตัว ส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพ แพทย์ นักกฎหมาย ทนายความ หรือ นักธุรกิจขนาดเล็กที่พอใจที่จะเป็นเจ้านายตัวเอง ต้องการทำอะไรด้วยตัวเอง เช่นที่ Dale แห่งบริษัทคอมพิวเตอร์เดล พูดว่า “ถ้าคุณต้องการทำอะไรให้ถูกต้องเสมอ คุณต้องทำด้วยตัวของคุณเอง” และคนส่วนนี้ก็จะกลายเป็น S พวกเขาต้องการอิสระ
ธุรกิจขนาดใหญ่จะอยู่ทางด้าน B นักธุรกิจขนาดใหญ่ๆ เช่น Bill Gate ผู้ ก่อตั้งธุรกิจขนาดยักษ์หลายล้านๆ เหรียญสหรัฐเป็นธุรกิจนานาชาติ ซึ่งก็มีไม่กี่คนที่เป็นคนร่ำรวยระดับโลกแบบนี้ คนร่ำรวยระดับโลกจะมาจากด้าน B คุณไม่มีทางเป็นคนร่ำรวยได้ถ้าคุณยังอยู่ด้าน E และ S
ส่วนด้าน I คือ Investor นักลงทุน จะมาได้จากการใช้เงินทำงานให้เขาเท่านั้น พ่อจนและแม่จนของผมอบรมให้ผมกลายเป็น E และ S และระบบการสอนในโรงเรียนก็สอนผมให้กลายเป็น E และ S มุ่งสู่การหางานที่มั่นคงและปลอดภัย ด้าน B และ I เป็นด้านสำหรับคนรวย พ่อรวยของผมพูดว่า “ถ้าเธอต้องการร่ำรวย ต้องสร้างธุรกิจของเธอเอง”

MC: และสิ่งที่คุณพูดในหนังสือที่กล่าวว่าเมื่อคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในด้น E เริ่มสร้างธุรกิจของเขาเอง ก็มักจะเริ่มต้นจากด้าน S เช่นสร้างธุรกิจขนาดย่อม อาจจะเป็นผู้รับเหมาช่วง รับงานเสริมต่างๆ การกระทำอย่างนั้นถูกต้องหรือไม่ครับ?
Robert: มันไม่มีถูกหรือผิดหรอกครับ แต่ว่าเมื่อหลายคนเริ่มพูดว่า “ผมต้องการทำอะไรที่เป็นของตัวเอง” พวกขาก็จะเริ่มโยกย้ายตัวเองจากด้าน E และก้าวสู่ด้าน S และมันก็จะเข้าสู่วัฎจักรที่ไม่มีวันจบในความเห็นของผม เพราะว่าทุกคนจะต้องพึ่งคุณ รัฐบาลก็ต้องพึ่งภาษีจากการทำงานของคุณ ลูกจ้างก็ต้องพึ่งพาคุณ และแล้วคุณก็จะไม่มีเวลาว่างเลย เพราะว่าถ้าคุณไม่ทำงานรายได้ก็หยุด นี่เป็นส่วนที่ยากที่สุดและนี่เป็นสิ่งที่ธุรกิจขนาดย่อมทั้งในสหรัฐอเมริกา และทุกแห่งในโลกต้องเผชิญอยู่ เจ้าของธุรกิจส่วนตัวต้องทำงานเสมือนเครื่องจักร และก็พบว่ามีไม่กี่คนที่สามารถร่ำรวยได้จากด้านนี้ แต่พวกเขาต้องทำงาน ทำงาน แล้วก็ทำงาน นี่เป็นจุดที่ S แตกต่างจาก B เพราะเมื่อไรที่ S นักธุรกิจขนาดย่อมหยุดทำงาน รายได้ก็หยุดไปด้วย แต่ขณะที่นักธุรกิจในด้าน B หยุดทำงาน รายได้เขายังคงไหลมาอย่างต่อเนื่อง และด้านไหนล่ะที่ดีกว่ากัน ผมคิดว่าด้าน B เนี่ยแหละยอดเยี่ยมทีเดียว
พ่อรวยอบรมผมให้อยู่ด้าน B และ I ท่านสอนผมให้เป็น B และ I โดยการเล่มเกมเศรษฐีที่มีสูตรในเกมที่เรารู้จักกันดี คือ บ้านสีเขียว 4 หลัง เท่ากับ 1 โรงแรมสีแดง , บ้านสีเขียว 1 หลัง เท่ากับ 1 โรงแรมสีแดง ดังนั้นมันจึงชี้ให้เห็นมุมมองที่แตกต่างกันกับคนที่กำลังมองหาการเปลี่ยนแปลง มุมมองของการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันอย่างมาก

MC: ในความเห็นของคุณอะไรคือสิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่หยุดความคิดที่จะเริ่มทำธุรกิจในด้าน B จริงๆ ครับ?

Robert: ปัญหาก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะสร้างมันได้เพราะคุณต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ถึง 10 ปี ในการสร้างธุรกิจแบบ B ซักหนึ่งตัว และสถิติความล้มเหลวก็สูงมากถึง 90% ใน 5 ปีแรก และการสร้างธุรกิจแบบ B ปัจจุบันต้องใช้เงินทุนสูงถึง 5 ล้านเหรียญต่อปี เพียงแค่สร้างมันเท่านั้นนะครับ และถ้าคุณล้มเหลวคุณก็จะเป็นหนี้มหาศาล เป็นสาเหตุที่หลายๆ คนล้มละลาย และผมเองก็เจ๊งถึง 2 ครั้ง ถึงกับล้มละลายทำให้เสียหายหลายล้านเหรียญ หลายๆ ครั้งผมต้องใช้เวลาถึง 10 ปี จึงจะเริ่มรับเงินเป็นผลกำไร คนส่วนใหญ่ในด้าน E และ S ไม่สามารถรับกับสภาวการณ์ทางการเงิน ทั้งทางด้านอารมณ์ และ ความคิด แล้วพวกเขาก็ไม่รู้วิธีการเข้าสู่ด้าน I การเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แบบนักลงทุนที่ถูกต้องแบบที่ผมได้รับการฝึกฝนมา
ดังนั้น ถ้าคุณต้องการสร้างธุรกิจของคุณมีทางหนึ่ง คือ คิดสร้างระบบของคุณขึ้นมาเอง ซึ่งผมก็ได้พยายามหลายครั้ง ผมมีโรงงาน บริษัทอสังหาริมทรัพย์ เหมืองแร่ บริษัทน้ำมัน ผมถูกฝึกมาให้ทำธุรกิจแบบนั้น แต่ถ้าคุณไม่มีความรู้แบบนั้น คุณก็สามารถเริ่มธุรกิจแฟรนไชน์เหมือน Mc Donald เป็น แฟรนไชน์ที่ดี แต่ปัญหาก็ คือ คุณต้องใช้เงินหลายล้านเหรียญเช่นกันในการเริ่มธุรกิจ และก็ยังไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับคุณในช่วง 2 ปีแรก
แต่มีทางเลือกที่สาม ที่ผมคิดว่าเป็นความได้เปรียบทางด้านข้อมูลข่าวสาร ทำให้คุณก้าวสู่ด้าน B ได้นั้น คือ การตลาดเครือข่าย หรือ Network Marketing หลายคนมีความคิดลบๆ กับธุรกิจนี้และในความเป็นจริงผมก็ไม่ได้ทำธุรกิจเครือข่าย หลายคนมีความคิดลบๆ กับคำว่า การตลาดเครือข่าย นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าการตลาดเครือข่ายที่แท้จริงคืออะไร คนรวยทั้งหลายในโลกนี้ล้วนสร้างเครือข่ายทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น เครือข่ายโทรทัศน์ คนรวยของโลกเป็นเจ้าของเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ (อาทิ เจ้าของ CNN), โทรศัพท์เครือข่าย เป็นเครือข่ายสถานีบริการโทรศัพท์ที่ให้บริการไปทั่วโลก พ่อรวยเคยพูดกับผมว่า “คนรวยสร้างเครือข่าย ในขณะที่คนทั่วไปมองหางานทำ” ทั้ง นี้มันก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณได้รับการฝึกฝนมา การตลาดเครือข่ายในมุมมองของผมเป็นหนทางที่ชาญฉลาดมาก สำหรับคนที่มีทุนน้อย และคุณอาจใช้เวลาซัก 5 ปี ด้วยเงินลงทุนเพียงเล็กน้อย ในการเริ่มต้นสร้างทรัพย์สินขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้คุณมีอิสรภาพด้านการเงินได้ ปัญหาก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่ให้เวลานานเพียงพอต่อธุรกิจนี้ พวกเขาไม่มีการตัดสินใจ ความมุ่งมั่นศรัทธาที่จะยึดมั่นอยู่กับธุรกิจ แถมยังมีเพื่อนหรือคนที่รู้จักที่มีแต่ความคิดลบๆ ต่อการตลาดเครือข่าย ผมต้องขอย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่ได้สร้างรายได้จากธุรกิจการตลาดเครือข่าย ผมสร้างระบบธุรกิจของผมเอง
ผม เคยมีความคิดลบ ๆ เช่นกัน จนกระทั่งผมได้คิดใคร่ครวญ และเริ่มเปิดใจศึกษา เปลี่ยนมุมมองที่ต่างออกไป และฟังข้อมูลจากเพื่อนผมที่เป็น CEO (Chef Executive Officer/หัว หน้าฝ่ายบริหารสูงสุด) และก็เริ่มเห็นคุณค่าของการตลาดเครือข่ายอย่างแท้จริง การตลาดเครือข่าย คือ ช่องทางให้คนทั่วไปผู้ซึ่งไม่มีเงินลงทุนมากนัก ทั้งยังสามารถทำงานปัจจุบันช่วงกลางวัน แล้วก็ใช้เวลาหลังเลิกงานสร้างทรัพย์สินที่ทำให้พวกเขามีอิสรภาพได้

MC: ผมไม่คิดว่าคนส่วนใหญ่ทั่วไปจะคิดว่าการตลาดเครือข่าย คือธุรกิจที่แท้จริง

Robert: แล้วคนที่อยู่ด้าน E กับ S ทั่วไปรู้จักธุรกิจที่แท้จริงได้อย่างไร ? พวกเขาเป็นลูกจ้าง หรือติดอยู่กับงานที่เขาต้องทำมันอยู่ทุกวันเป็นธุรกิจส่วนตัว ผมต้องขออธิบายอะไรบางอย่างก่อน ที่ผมจะตอบคำถามต่อไปว่า เหตุผลอะไรที่ผมมาให้สัมภาษณ์บันทึกเทปนี้กับคุณเพราะผมต้องการที่จะพูดคุย เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงที่ผมเห็นว่ามันกำลังเกิดขึ้น และทำไมคุณถึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง
ทุกวันนี้ผมได้ยินคนหลายคน พูดว่า
เมื่อไหร่เราจะกลับสู่ภาวะปกติเสียทีนะ
ผมอยากจะถามพวกคุณว่า
“สภาวะปกตินั้นคืออะไร”
คุณรู้ใช่ไหมว่าผมหมายถึงอะไร คุณกำลังพูด “บ้าอะไร” ผมพยายามที่จะพูดกับคุณทุกคนว่า “ทุกวันนี้โลกของเราเปลี่ยนไปแล้ว” เหตุผลที่เปลี่ยนไปก็ธรรมดามากๆ เพราะเรายอมให้คนที่อำนาจเหนือคุณเที่ยวสั่งคนนู้นคนนี้ไปทั่ว ผมต้องการอิสรภาพของผม เหตุที่ผมต้องการมาอยู่ด้าน B เพราะว่า ผมสู้เพื่ออิสรภาพของผม สู้เพื่อจิตวิญญาณของผม แล้วคำว่า “อิสรภาพ” ในความหมายของผม คืออะไรผม หมายถึง การมีทางเลือกที่มากขึ้น ถ้าคุณอยู่ในด้าน E และ S คุณต้องยอมเสียอิสรภาพหลายๆ อย่าง ผมหมายถึงว่า ถ้าคุณเป็น E ก็จะมีคนอื่นๆ เป็นผู้กำหนดว่า “คุณควรมีรายได้เท่าไหร่? คุณต้องมาทำงานกี่โมง? เมื่อไหร่ที่คุณจะได้พัก? เมื่อไหร่คุณจะได้ทานอาหารกลางวัน? เมื่อไหร่คุณถึงจะกลับบ้านได้? เมื่อไหร่คุณจะได้ขึ้นเงินเดือน? หรือ ค่าจ้าง? และที่เลวร้ายที่สุด สำหรับแนวคิดการหางานทำงานที่มั่นคงทุกวันนี้ก็คือ ถ้าหากว่าบริษัทเกิดบริหารงานผิดพลาด เกิดมีปัญหาขึ้นมาเขาก็จะลดขนาดขององค์กรลง ปลดคุณออก แล้วคุณจะทำอย่างไร
เมื่อคุณมองโลกทุกวันนี้ โลกของเราเต็มไปด้วยคนที่มีอำนาจเหนือคุณ และถ้าคุณมองให้ดีๆ ไม่ต้องมองไกลหรอก ผมพบเหตุการณ์เหล่านี้ในโลกธุรกิจทุกวัน ผมพบว่ามีคนพยายามผลักดัน กดดันผมตลอดเวลา สาเหตุหลักที่ผมต้องการอยู่ด้าน B เพราะผมไม่ต้องการถูกกดดันให้ทำโน่น ทำนี่ โดยคนอื่น ผมไม่ต้องการให้ใครมากำหนด ว่าผมควรมีรายได้เท่าไหร่? หรือ มาบอกผมว่า “พรุ่งนี้ผมยังคงมีงานทำอยู่หรือไม่”
สิ่งที่ผมไปรบที่สงครามเวียดนามคือ เพื่ออิสรภาพ และ อิสรภาพต้องการความกล้า มันต้องการความแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ผมเห็นหลายคนอ่อนแอลงทุกที พวกเขาพร่ำบ่นว่า “โอ้พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้นะ” และพวกเขาก็อ่อนแอลงทุกที แล้วคุณก็จะถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง ทุกวันนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องแข็งแกร่งขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ทั้งพ่อและแม่ผมสอนเสมอก็คือ ต้องเข้มแข็ง ไม่ใช่เป็นคนที่หินหรือเขี้ยว และอย่าทำตัวเป็นเด็ก เที่ยวชกต่อยกับเด็กคนอื่นๆ ถ้าทำแบบนั้นผมก็จะเป็นเด็กอยู่ดี ทุกวันนี้ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จและมาอยู่ด้าน B คุณต้องเป็นคนที่มีความคิด อารมณ์ และคุณธรรมที่แข็งแกร่งอยู่ภายใน และคุณต้องมีไหวพริบ ฉลาด พ่อจนของผมเป็นคนที่หินหรือเขี้ยวมาก แต่ในทางด้านการเงิน เขาไม่มีไหวพริบเลย นั้นแหละทำไม เขาจึงถูกไล่ออกจากงานตอนอายุ 50 ปี เขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ เขาต้องการงานของเขาคืนมา “กรุณาเถิดของานค่าจ้างสูงๆ ของผมคืนมา” และเมื่อผมพูดกับคนทั่วไปว่า ทุกวันนี้โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จ จงมีความเข้มแข็งใฝ่หาความรู้ เพราะเป็นสิ่งที่ด้าน B ต้องมี สาเหตุที่ผมประสบความสำเร็จในธุรกิจของผมเองเพราะว่า เพราะผมไม่ยอมให้ใครมาผลักดันผม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมทำตัวเป็นเด็กๆ ผมเพียงแต่ไม่ยอมให้ใครผลักผมไปมา
สิ่งที่ผมกำลังพูดกับคุณในวันนี้ เด็กชายเหล่านั้นในธุรกิจทั่วโลก ผมหมายถึงเด็กชายที่อยู่ถัดจากคุณนั้นแหละที่คุณเรียกว่า เจ้านาย ผู้บังคับบัญชา หัวหน้างาน คนที่อยู่ข้างหน้าคุณ แล้วก็คอยบอกคุณว่า คุณจะต้องดำเนินชีวิตคุณอย่างไรนั้นแหละ
ดังนั้น ยิ่งคุณแสวงหางานที่มั่นคงมากเท่าไหร่ อิสรภาพของคุณก็น้อยลงเท่านั้น

MC: ผม คิดว่าคุณคงจะเห็นด้วยนะครับ ว่าทุกวันนี้ผมเห็นคนไปทำงานกันทุกวัน ขณะเดียวกันเขาก็จะพร่ำบ่นกับเพื่อนร่วมงานข้างๆ ว่าเขาเกลียด ใช่ครับ เขาเกลียดงานของเขา เขาเกลียด ที่ต้องจ่ายเงินภาษีให้กับรัฐ แล้วถ้าเป็นคุณ คุณจะพูดกับคนแบบนี้ว่าอย่างไรครับ?

Robert: “คุณต้องตื่นได้แล้วเพื่อน” ผมเห็นคนในรายการทีวีพร่ำบ่นถึงการปลดคนออกจากงานประจำ ผมต้องการงาน ผมต้องการเงิน ถ้าคุณต้องการจริง ๆ คุณต้องตื่นได้แล้ว ยิ่งคุณต้องการมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้มันมากเท่านั้น สิ่งที่สวยงามมากเกี่ยวกับการตลาดเครือข่ายก็คือว่า มันเป็นโอกาสของคุณ ที่คุณจะใช้เงินไม่กี่เหรียญประมาณว่าซัก 500 เหรียญคุณสามารถมีโอกาสในการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง รักษางานประจำหรือธุรกิจส่วนตัวของคุณไว้ แต่ว่าต้องเข้มแข็งให้มากขึ้น ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในการตลาดเครือข่ายสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมขอ แนะนำคือ จงอยู่ในธุรกิจนี้ให้นานอย่างน้อย 3, 4 หรือ 5 ปี เพราะสิ่งที่คุณจะได้รับคือ คุณได้รับความรู้ และความเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าพ่อผมทั้ง 2 คนเป็นคนที่เข็มแข็ง และ ซื่อสัตย์ ปัญหาก็คือพ่อจนของผมไม่ได้รับการฝึกฝนในการเป็นเจ้าของกิจการ เขาไม่เคยมีทัศนคติที่จะออกมาอยู่ทางด้าน B พ่อจนของผมเป็นครูสอนหนังสือและถูกออกตอนอายุ 50 ปี เพราะว่าเขาออกมาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐฮาวาย
ถ้า คุณคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องที่สวยงาม ใจดี มีความสุข ไม่ใช่แน่นอนมีคนที่มีอำนาจมากมายในวงการเมือง พ่อของผมลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งกับเจ้านายของท่าน และ เมื่อเจ้านายของท่านได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ ท่านก็ไม่มีโอกาสได้กลับเข้าไปทำงานในราชการของรัฐฮาวายอีกเลย และพ่อผมก็ไม่เขี้ยวพอที่จะต่อสู้กับเขาได้
สิ่ง ที่ผมกำลังพยายามอธิบายอยู่นี้ก็คือว่า ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ การตลาดเครือข่ายเป็นทางเลือกที่ดีมากทางหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าทุกบริษัท มีบางบริษัทที่เสนอให้คุณเข้าสู่ด้าน B ที่ดีที่สุดด้วย ระบบการถ่ายทอดความรู้ ทั้งด้านความคิด อารมณ์ และแก่นแท้ที่จะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้นโดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะคิด จะพูดอย่างไรเกี่ยวกับคุณอีกเลย คุณจะไม่ปล่อยให้ใครมาผลักคุณไปโน่นไปนี่อีกต่อไป นั้นแหละคือสิ่งที่ผมกำลังพยายามทำอยู่ แต่ถ้าคุณอ่อนแอในวันนี้ คุณก็จะสูญเสียอิสรภาพของคุณเอง ถ้าคุณอ่อนแอวันนี้คุณก็จะปล่อยให้คนอื่นกดดันคุณต่อไป “โอขอโทษน่ะท่าน ของานให้ผมทำต่อไปเถอะ ขอเงินเดือนผมขึ้นนะครับ ขอผมกลับก่อนสัก 2 ชั่วโมงได้ไหมครับ เพราะว่าลูกผมป่วย” ผมหมายถึง คุณจะยอมเป็นคนที่อ่อนแออย่างนั้นหรือ? คุณไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จมาอยู่ฝั่ง B ได้ ตราบใดก็ตามที่คุณยังคงขอคำอนุญาตทำโน่นทํานี่ตลอดเวลา แล้วคนอื่นๆ ที่เขาเห็นคุณ เขาจะคิดกับคุณอย่างไร?
ไม่กี่วันก่อนผมต้องติดต่อเจรจาต่อรองกับชายคนหนึ่ง เขาพยายามผลักดันผมไปมาด้วยนักกฎหมายของเขา คุณรู้ไหมผม ผมคิดว่าผมไม่อาจยอมให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับผมเป็นอันขาด คุณไม่จำเป็นจะต้องไปถึงตะวันออกกลางเพื่อจะหาลูกปืนหรอกนะ มันอยู่ถัดไปจากตัวคุณนั้นแหละ คุณพบกับเหตุการณ์เหล่านี้ทุกวัน หัวหน้างานของคุณ เจ้านายของคุณ เพื่อนร่วมงานของคุณต้องการผลักดัน กดดันคุณไปมา
แต่ ว่าระบบการตลาดแบบเครือข่ายได้เสนอ การพัฒนาความคิด การฝึกอบรม ทั้งด้านจิตใจ จิตวิญญาณ ผมหมายถึง ความแข็งแกร่ง ความอดทน ถ้าคุณมีความอดทนเพียงพอ คุณสามารถยืนหยัดได้เช่นเดียวกับผู้ที่สามารถข้ามมาสู่ฝั่ง B เช่นกัน นั้นแหละที่ทำไมผมถึงพูดว่า มันเป็นโปรแกรมการฝึกอบรมที่เยี่ยมยอดมาก

MC: สิ่งหนึ่งที่คุณได้กล่าวถึงในหนังสือคือ เรื่องความใฝ่ฝัน ในความคิดเห็นของผม ผมคิดว่าใครก็ตามที่ทำงานประจำมานานถึง 15 ปี ความใฝ่ฝันก็อาจจะหมดไป ความฝันของเขาก็อาจะเป็นเพียงแค่จะพาลูกเขาไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ปีหน้าเท่านั้น?

Robert: ผม คิดว่าคนส่วนมากมีความใฝ่ฝัน แล้วก็ฝัน แต่มันไม่เคยเป็นจริง พ่อรวยของผมกล่าวว่าสิ่งที่ทำให้ความใฝ่ฝันของเราลดลงเพราะความเป็นจริง
จริงๆ แล้วคุณอาจจะฝันถึงบ้านราคาหลายล้าน แต่ในความเป็นจริงคุณไม่มีมัน คุณอาจจะฝันถึงอะไรที่ยิ่งใหญ่ แต่ในความเป็นจริงคุณไม่เคยได้รับมันเลย อย่างไรก็ดีผมขอให้คนทุกคนกล้าที่จะฝัน แต่คุณอาจจะต้องมีการวางแผน มีระบบ มีกระบวนการที่ชัดเจนว่าคุณจะทำความฝันของคุณให้เป็นจริงได้อย่างไร
ถ้า ผมต้องการเริ่มต้น สร้างความฝันของผมใหม่ ผมคิดว่าผมจะเข้าสู่ระบบการตลาดเครือข่าย เพราะว่ามันดูมีเหตุมีผลดี มันเป็นระบบที่ถูกสร้างไว้เสร็จแล้วให้คุณ มีนักกฎหมายที่ดูแลเงื่อนไขต่าง ๆ ให้คุณ มีระบบบัญชีที่สมบูรณ์แบบ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณทั้งหลายคงจะเข้าใจ แต่ก็ไม่ใช่ทุกบริษัทนะครับ มันมีทั้งบริษัทเครือข่ายการตลาดที่ดี และไม่ดีเช่นกัน ขอให้เข้าใจด้วยนะครับ แน่นอนว่ามีคนไม่ดีในระบบการตลาดเครือข่ายด้วยเช่นกัน มันก็มีคนที่ดีและไม่ดีทั้งนั้นแหละครับในทุกๆ วงการ
แต่ ประเด็นอยู่ที่ว่า สำหรับคนทั่วไปธุรกิจระบบการตลาดเครือข่ายให้โอกาสเขาในการที่จะควบคุมชีวิต ของเขาเอง ที่เลวร้ายที่สุดถ้าคุณไม่ได้อยู่ในด้าน B คุณจะสูญเสียการควบคุมในสิ่งเหล่านี้นั้นคือ ค่าใช้จ่ายด้านภาษี เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุด ภาษีสรรพากรจะบอกคุณว่าคุณต้องจ่ายเท่าไหร่และจ่ายเมื่อไหร่ แต่ถ้าคุณอยู่ด้าน B คุณสามารถควบคุมได้อย่างดี ผมกำลังพูดว่า “ไม่ว่าคุณจะต่อสู้เพื่ออะไร เราต่อสู้เพื่ออิสรภาพ เราต่อสู้เพื่อการมีทางเลือกมากกว่า ยิ่งคุณมีน้อยเท่าไหร่ อิสรภาพน้อยเท่าไหร่ คุณก็มีทางเลือกน้อยเท่านั้น”
การก้าวสู่ด้าน B และ I ช่วยให้คุณมีทางเลือกมากขึ้น มีอิสรภาพมากขึ้น นั้นแหละคือเหตุที่ประเทศของเราถูกสร้างขึ้นมา และทุกๆแห่งในโลกก็ต้องการเช่นเดียวกัน อิสรภาพในการเลือก ผมพูดว่าพวกเด็ก ๆ ที่คอยกดดันคุณตลอดเวลา เหมือนอยู่ในกองทัพนั้นเป็นเรื่องน่ากลัวมาก มีผู้คนจำนวนมากที่คอยกดดันคุณทั้งทางด้านความคิดและอารมณ์ตลอดเวลา ถ้าคนที่นั่งข้างๆ คุณบอกคุณว่า แล้วทำไมต้องเป็นการตลาดเครือข่ายด้วย และถ้าคุณปล่อยให้คนเหล่านั้นมากดดันคุณ คุณก็คือ ผู้แพ้!
และ สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมในธุรกิจการตลาดเครือข่ายก็คือ ถ้าคุณเข้มแข็งและอยู่นานเกิน 5 ถึง 10 ปี คุณจะกลายเป็นคนที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำคัญกว่าจำนวนเงินที่คุณหาได้จากการตลาดเครือข่ายเสียอีก นั้นก็คือ มันจะคืนการควบคุมชีวิตของคุณเอง ทางเลือกของคุณเองและเกียรติศักดิ์ศรีของคุณเอง ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้ในทุกวันนี้

MC: แล้ว ทำไมในช่วงสภาวการณ์เศรษฐกิจแบบนี้ อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้คนควรจะเริ่มต้นคิด ทำอะไรบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากที่เคยเป็นครับ

Robert: เออ... สาเหตุที่ผมคิดว่าเราควรจะตื่นจากการหลับใหลกันได้แล้วในตอนนี้คือ ผมคิดว่าการพูดถึงงานที่มั่นคงเป็น เรื่องตลกมาก และสูตรเดิมที่ใช้ในการสร้างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่เคยพูดกันว่ามั่นคงปลอดภัย และถ้าคุณคิดเช่นนั้น คุณก็คงจะเป็นคนที่เชื่อในเรื่อง กระต่ายอีสเตอร์และซานต้าคลอส ผมหมายถึงคุณอาจจะโกรธผม แต่คนที่ขายหุ้นให้คุณเขาต้องว่าดีแน่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเสี่ยงเกินไปสำหรับอนาคตทางการเงินของคุณ และถ้าคุณคิดว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น คุณกำลังพนันชีวิตของคุณกับการขึ้นและลงของตลาดหุ้น ผมหมายถึงคุณกำลังเอาอนาคตของการเกษียณอายุมาพนันเชียวนะ
จะ เกิดอะไรขึ้นถ้าตลาดหุ้นพุ่งสูงขึ้นและเกิดตกลงมาเมื่อคุณอายุ 85 ปีแล้ว คุณไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย ดังนั้นผมไม่ได้กำลังพูดว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่ดีนะ ผมเพียงแต่พูดว่ามันไม่ปลอดภัย และไม่เป็นการฉลาดเลย ผมจะไม่เอาอนาคตทางการเงินของผมมาเป็นเดิมพันแน่นอน ผมมักจะพูดเสมอว่า ผมไม่เคยเห็นครั้งใดในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ ที่มีคนจำนวนมากเอาการวางแผนทางการเงินเมื่อเกษียณอายุมาเดิมพันในตลาดหุ้น
นับว่าเป็นเรื่องที่เพี้ยน! เอาการ คุณคิดหรือว่าประกันสังคมจะคงอยู่ตลอดไปเพื่อคอยดูแลคุณ เท่ากับว่าคุณก็ต้องเชื่อในเรื่องกระต่ายอีสเตอร์เช่นกัน โปรแกรมค่ารักษาพยาบาล ซึ่งจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากเมื่อเกษียณอายุ สิ่งที่คุณจะได้จะมีค่ายา ส่วนค่ารักษาพยาบาลซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่นั้นถ้าคุณมีเงินคุณก็มีชีวิต อยู่ต่อไปได้ และถ้าคุณไม่มีเงินคุณก็ต้องตาย ซึ่งมันก็เกิดขึ้นแล้วในประเทศต่างๆ ทั่วโลก และมันก็กำลังจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน เพราะว่ามีคนจำนวนมากที่อ่อนแอและไม่มีประสิทธิภาพ คอยแต่คาดหวัง ความช่วยเหลือจากรัฐบาลหรือบริษัทให้ช่วยดูแลพวกเขา ผมขอพูดว่า ถึงเวลาต้องตื่นขึ้นได้แล้ว ถ้าสิ่งที่ผมพูดมันฟัง ไม่หวานหู หยาบคาย แต่นั้นแหละคือโลกที่ผมเห็นอยู่ในขณะนี้ คุณต้องเข้มแข็งขึ้น และฉลาดขึ้นได้แล้ว นั้นคือสิ่งที่ผมขอแนะนำ นั้นคือสิ่งที่ผมเห็นว่าการตลาดเครือข่ายได้ช่วยเหลือคนจำนวนมากให้ได้รับ โอกาส การจัดการด้านการเงินแก่ตัวเขาเอง

MC: ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมทุกคนไม่ออกไปเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองซะหล่ะครับ

Robert: ผมคิดว่านั้นแหละคือหัวข้อที่ผมกำลังพูดถึงอยู่ มันคือ ความกลัว คุณรู้ไหมผมก็มีความกลัวอยู่ในตัวผมเช่นกัน ผมรู้จักคนๆนั้นดีที่สุด คนที่ผมรู้จักตอนที่ผมไปรบที่เวียดนาม ผมต้องต่อสู้กับคนที่มีความกล้ากับคนที่มีความหวาดกลัว มันเป็นสงครามที่เราทุกคนต้องเผชิญหน้ากับมันในตัวของเราเองและบ่อยครั้งที่ คนขี้ขลาดก็มักจะถามจากคนขี้ขลาด แล้วเขาก็พูดคุยกัน คนหนึ่งอาจถามว่า “คุณทำอย่างนั้นทำไมนะ?” อีกคนก็จะตอบว่า “ก็เพราะผมถูกกดดันจากคนอื่นนะซิ จึงกลายเป็นความขลาด ความหวาดกลัว”
สิ่งหนึ่งซึ่งทำให้ผมออกจากโรงเรียนเพราะเหตุผลสำคัญคือ มีครูคนหนึ่งบอกผมว่า
“ถ้าเธอไม่ทำคะแนนสอบไล่ให้ได้ดีๆ เธอก็จะไม่ได้งานทำดีๆ”
แล้วผมก็ลุกยืนขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ดี! ผมไม่ต้องการได้งานทำ” ครูผมถึงกับสะอึก “เธอนี่ช่างเป็นเด็กที่โง่เง่าจริงๆ นะ” ผมก็ต่อไปอีกว่า “ผมไม่ต้องการหางานทำ อะไรคือปัญหาเหรอครับ?”
ประเด็น ก็คือว่า ผมต้องการทดสอบความสามารถของผมในการไม่ยอมถูกกดดัน ไม่ยอมให้ถูกผลักดันไปมา และผมคิดว่า ถ้ามีใครถามผมว่า อะไรทำให้ผมรวย อะไรคือคุณสมบัติอันดับหนึ่งที่ทำให้ผมร่ำรวย นั้นก็คือ ผมมีความกล้าที่จะลุกขึ้นยืนต่อสู้กับสิ่งที่ผมคิดว่าถูกต้องกับตัวผม ผมไม่ได้บอกว่าจะถูกต้องกับทุกคนน่ะครับ ผมเพียงแต่ไม่ต้องการหางานทำ ผมไม่ต้องการเป็นลูกจ้าง คุณครูพูดว่า “ผมต้องเป็นลูกจ้างคนหนึ่ง” ผมบอกว่า “ไม่! คุณนั่นแหละที่ต้องเป็นลูกจ้าง” แล้วผมก็พูดต่อว่า “ผม ไม่สนใจกับเกรดดีๆเลย ถ้าอย่างงั้นแล้วทำไมนายธนาคารยังคงต้องการรายงานสถานะการทางการเงินของผม อยู่ดี นายธนาคารถามผมเรื่องอะไร เขาถามหารายงานการเงินของผม” “แล้วทำไมคุณไม่สอนผมเกี่ยวกับรายงานด้านการเงินล่ะ” แล้วครูก็ “เออ....เออ.....เออ....”
ประเด็น อยู่ตรงที่ว่า ทุกวันนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คุณต้องเขามาทำธุรกิจเพราะคุณต้องการ เกียรติศักดิ์ศรีของคุณคืนมา คุณต้องการควบคุมชีวิตคุณเอง คุณต้องมีความสามารถในการรวบรวมความกล้า ที่จะไม่สนใจให้ใครมาผลักดันคุณไปมาอีกต่อไป คุณต้องเริ่มต้นคิดด้วยตัวคุณเอง

MC: คุณได้กล่าวถึงการตลาดเครือข่ายว่าเป็น แฟรนไชน์ส่วนบุคคล ขอให้คุณช่วยอธิบายได้หรือไม่ว่าคุณหมายความว่าอะไร?

Robert: ก่อนอื่นผมขอเล่าให้คุณฟังถึงระบบแฟรนไชน์ก่อนน่ะครับ พ่อของผมถูกไล่ออกเมื่อตอนอายุ 50 ปี ซึ่งก็เป็นเหตุจูงใจอันหนึ่งเช่นกันสำหรับผม ถ้าคุณเห็นพ่อของคุณถูกให้ออกจากงาน ถูกเข้าชื่อในบัญชีดำโดยคนที่มีอำนาจเหนือคุณแล้วล่ะก็ ผมว่ามันคงจะทำให้ความคิดคุณเปลี่ยนแน่นอน พ่อผมเอาเงินจากการเกษียณอายุมาลงทุน ขาดทุนในธุรกิจแฟรนไชน์ เป็นธุรกิจไอศกรีม ผมไม่ขอกล่าวชื่อก็แล้วกัน เป็นธุรกิจไอศกรีมแฟรนไชน์ที่มีชื่อเสียงจนถึงปัจจุบัน แล้วพ่อผมก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปกับธุรกิจนั้น รู้ไหมระบบแฟรนไชน์ไม่สามารถปกป้องคุณได้ถ้าคุณเองไม่มีความคิด จิตใจ อารมณ์ที่เข้มแข็งที่จะยืนหยัดในโลกด้าน B ในขณะที่การตลาดเครือข่าย คือ ธุรกิจแฟรนไชน์ส่วนบุคคล แต่อันดับแรกคุณต้องเป็นคนที่เข้มแข็ง ผมเรียกด้าน B ว่า “กังโฮ” เป็นอีกคำหนึ่ง หรืออีกด้านหนึ่ง ถ้าคุณอยู่ในด้าน B คุณจะคาดหวังว่าจะมีคนอื่นๆ มาปกป้องคุณ “โอ้เจ้านายจะปกป้องฉัน หัวหน้าจะปกป้องฉัน ใช่ไหม” แต่การที่คุณจะก้าวมาสู่ด้าน B ก้าวสู่โลกของปลาฉลาม หมีตัวใหญ่ กอลิล่ายักษ์นั่นแหละที่ผมเรียกว่า กังโฮ เพราะถ้าคุณไม่ประสบความสำเร็จในด้าน B คุณก็จะ “ต่อย...” (เสียงต่อย) คุณก็จะหลุดไป “เอาตื่นๆๆ ไปได้แล้ว บ้าย...บาย” ในด้าน B ไม่มีคำว่า “ยุติธรรม” ไม่มีคำว่า “เสมอภาค” ต่อให้คุณพูดว่า ผมยอมให้ตัดเงินของผม โยนผมลงไปในมหาสมุทร ผมจะสวดมนต์อ้อนวอน ผมทำเกรดได้ดีตอนอยู่ที่โรงเรียนนะ ผมเป็นคนดี ปลาฉลามก็ยังคงกินคุณอยู่ดี ไม่มีอะไรมาปกป้องคุณได้
สำหรับเราแล้วด้าน B ก็คือ การทำให้ตัวเข้มแข็งขึ้น ทั้งด้านความคิดจิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ และ นั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผู้ซื้อสิทธิ์แฟรนไชน์พึ่งมี ดังนั้นในองค์กรการตลาดเครือข่ายที่มีคุณค่าจะพยายาม อย่างสุดความสามารถที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง ยืนหยัดอยู่ในด้าน B ซึ่งจะทำให้คุณยืนอยู่บนเท้าทั้งสองข้างของคุณเอง

MC: คุณพูดในหนังสือว่าการตลาดเครือข่ายเป็นการเล่นในระดับภาคสนาม คุณหมายความว่าอย่างไรครับ?

Robert: ผมตระหนักดีว่าการเล่นในระดับภาคสนามเป็นอย่างไร เมื่อตอนที่ผมทำงานให้กับบริษัท ซีร๊อกซ์ คอร์ปอเรชั่น เป็นเพราะว่าผมไม่มีวุฒิการศึกษาปริญญาโทด้านการบริหารหรือ MBA ที่เราเรียกกัน เขาจึงไม่อยากเลื่อนตำแหน่งให้ผม มันช่างน่าตลกไหมหล่ะ ผมเป็นเบอร์หนึ่งด้านการขายเป็นเพราะผมเล่นเกมส์ไม่เป็น พ่อรวยเคยบอกว่า “ถ้าเราพยายามปีนไต่บันไดตามขั้นตำแหน่งในองกรใดๆแล้วล่ะก็ ปัญหาก็คือ วิวทิวทัศน์จะไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย” เพราะเมื่อใดที่คุณแหงนหน้ามองขึ้นไปจะพบตูดใหญ่ๆอยู่เหนือหัวคุณ และอีตาคนนั้นก็ไม่มีทางเคลื่อนตัวได้เร็วด้วย อีกทั้งคุณก็ไม่อาจแซงเขาไปได้ เพราะยังคงมีตูดอีกมากมายอยู่เหนือขึ้นไปอีก ไม่ว่าคุณจะเก่งมากขนาดไหนด้านการขาย มันก็ไม่มีวันแตกต่างไปได้ คุณยังต้องเข้าแถวตามตูดใหญ่ๆ เมื่อผมมองไปก็พบว่านี่ไม่ใช่แบบที่ผมต้องการ
แต่ ในการตลาดเครือข่ายคุณได้รับผลตอบแทนตามผลงานของคุณ แต่ถ้าคุณไม่มีผลงานคุณก็จะไม่ได้ผลตอบแทนเช่นกัน แต่ถ้าคุณไม่ชอบแบบนี้ ธุรกิจนี้ก็คงไม่เหมาะกับคุณ แต่ว่ามันเกี่ยวข้องกับผลงานจริงๆ คุณรู้ไหมเราเรียกกันว่าพูดด้วยเงินทุกอย่างจะเดินตามมาเอง นั้นแหละทำไมการตลาดเครือข่ายจึงมีมากมาย มันไม่ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะจบอะไรมา ไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะมาจากครอบครัวประเภทไหน คุณดูดีมีเสน่ห์หรือไม่ ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ ผู้คนมีการเลือกที่รักมักที่ชังเสมอ เราก็รู้ดีว่าถ้าคุณสวยคุณก็มีโอกาสมาก ถ้าคุณน่าเกียจคุณก็มีโอกาสน้อย แต่ธุรกิจนี้มันไม่เกี่ยว มันเกี่ยวกับผลงานเท่านั้น เงินเป็นตัวพูด ทุกอย่างจะเดินตามมาเอง และถ้าคุณยอมรับวิธีนี้ไม่ได้ธุรกิจนี้ก็ไม่เหมาะกับคุณ
ผม ชอบการแข่งขัน บางคนเกลียดแต่ผมชอบนะ ผมต้องการเป็นอะไรที่ดีที่สุด ไม่ใช่ว่าผมต้องการอัดกับใครนะ แต่ผมมองคู่แข่งหรือคนอื่นๆ เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผมพยายามทำให้ดีขึ้นและในการตลาดเครือข่ายที่สำคัญก็คือ พวกเขาต้องการให้คนพัฒนาขึ้น แต่ในโลกธุรกิจทั่วไป ไม่มีใครต้องการให้คุณดีขึ้น เพราะถ้าคุณดีขึ้น มันจะทำให้งานของเขาคลอนแคลน มันเป็นบรรยากาศที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แล้วอะไรเป็นสิ่งที่ปกติสำหรับคนบางคนล่ะ นั้นคือการเล่นอย่างปลอดภัยไง ค่อยๆปีนไปตามบันไดองค์กร แล้วก็รอจนถึงตาคุณ แต่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ปกติสำหรับผมนะ

MC: คุณมีอะไรจะเสริมอีกไหมครับ สำหรับผู้ที่กำลังฟังเทปของคุณอยู่ในขณะนี้

Robert: ผม ขอพูดว่าเปิดโอกาสให้อิสรภาพดีไหม ให้โอกาสมัน เปิดใจให้กว้าง อย่าฟังเพื่อนของคุณ ผู้ซึ่งมีแต่ความหวาดกลัว อ่อนแอ สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมมีคือ ผมมีเพื่อนที่คอยให้กำลังใจผมพวกเขาต้องการให้ผมร่ำรวย พวกเขาคอยให้กำลังใจผม ก้าวสู่ความร่ำรวยยิ่งๆขึ้น ในครอบครัวพ่อจนของผม มีแต่คนเรียนสูงๆ ระดับปริญญาเอกหลายคน พวกเขามีทัศนคติที่แย่มากๆ เกี่ยวกับเรื่องเงิน ทัศนคติแย่จริงๆครับ ผมไม่ต้อง การเป็นแบบพวกเขา คนรวยจะไม่ดูถูกคนอื่น ผมไม่ค่อยชอบแนวของเพื่อนพ่อผมคนหนึ่ง เขาคอยแต่จะทำให้คนอื่นอ่อนแอ คุณต้องหางานที่มั่นคง คุณต้องเล่นด้วยความปลอดภัย อย่าเสี่ยง เขาจะสวดภาวนาบนความหวาดกลัว แทนที่จะช่วยให้คุณหลุดพ้นความหวาดกลัว สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมได้รับจากการไปรบในสงครามเวียดนามคือ ผมได้เรียนรู้การควบคุมความหวาดกลัว แทนที่ผมจะยอมให้คนขี้ขลาดชนะ ผมคิดว่าในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงใบนี้ โลกที่ปกติคือความผิดปกติ คนที่มีอำนาจเหนือคุณอยู่ใกล้ๆ คุณทั่วไปหมด ผมคิดว่าคุณต้องมีความกล้าแล้วในวันนี้ นั่นแหละที่ผมคิดว่าการตลาดเครือข่ายสามารถให้แก่คุณได้

MC: คำถามสุดท้ายนะครับ คุณคิดว่าการตลาดเครือข่ายเป็นธุรกิจในด้าน B ที่มีความสมบูรณ์แบบหรือไม่?

Robert: ใช่ สำหรับบางคน แต่ไม่ใช่ทุกคน เหมือนกับถ้าผมพูดว่าการเป็นคนรวยนั้นง่ายมาก ดังนั้นทุกคนต้องรวย คุณต้องค้นหาให้พบจากหัวใจ จากวิญญาณ จากจิตใต้สำนึกของคุณเอง นั้นแหละที่ว่าทำไมหลายคนจึงถามผมว่า “อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผมร่ำรวย” นั้นคือ ผมไม่ต้องการให้ใครมาบอกผมว่า ผมต้องทำอะไร ผมต้องการอิสรภาพของผมอย่างหมดหัวใจ ผมไม่ต้องการงานที่มั่นคง ผมต้องการอิสรภาพด้านการเงิน นั้นเป็นสิ่งที่ผมปรารถนา เผาผลาญอยู่ในจิตใต้สำนึกผมตลอดเวลา
เหมือนกับทุกวันนี้ถ้ามีใครบางคนมาบอกผมว่าผมต้องทำอะไร ผมจะโกรธมากถ้าคุณชอบให้ใครมาบอกคุณว่า คุณจะทำงานได้เงินเดือนเท่าไหร่? คุณจะได้งานทำหรือไม่? เมื่อไหร่ต้องมาทำงาน ดังนั้นการตลาดเครือข่ายไม่เหมาะสำหรับคุณ มันไม่ใช่จริงๆ แต่สำหรับผมแล้วผมเกียจมาก ผมได้เคยลองทดสอบทำแบบนั้นดูแล้ว ผมต้องการอิสรภาพของผมอย่างมาก นั้นแหละทำไมผมถึงไปรบที่เวียดนาม และผมก็คิดว่านั้นแหละทำไมเราถึงต้องต่อสู่ในวันนี้ อิสรภาพในทางเลือกของเรา ที่จะอยู่ จะคิด จะทำ เลือกรูปแบบการดำเนินชีวิตของเราเอง นั่นแหละที่การตลาดเครือข่ายมีให้กับคุณทุกๆคน

นั่นคือความปรารถนาดีอย่างจริงใจ ถ้าคุณชอบเทปบันทึกการสัมภาษณ์ผู้แต่งหนังสือขายดี นักธุรกิจเงินล้าน ผู้บรรยายด้านการเงิน Robert Kiyosaki

ปรัชญา...สู่ความสำเร็จ

" ถ้าคุณคิดว่าตัวเองไม่อาจจะสู้ได้ คุณก็จะสู้ไม่ได้!
ถ้าคุณคิดว่าตัวเองไม่มีความกล้า คุณก็จะไม่กล้า!
ถ้าคุณอยากจะเป็นผู้ชนะ แต่ขณะเดียวกันก็คิดว่าอาจจะไม่มีทาง
เกือบเป็นสิ่งที่แน่นอนว่า คุณจะไม่มีทางชนะได้เลย
ถ้าคุณคิดว่าตัวเองจะต้องเป็นผู้พ่ายแพ้ คุณก็จะพ่ายแพ้
เราได้พบว่าในโลกนี้ ความสำเร็จ จะเกิดขึ้นด้วยความมั่นใจในตัวมนุษย์และทุกอย่างขึ้นอยู่กับ สภาวะจิต เพียงอย่างเดียวเท่านั้น!!
ถ้าคุณคิดว่าตัวเองต่ำต้อยกว่า คุณก็จะเป็นอยู่เช่นนั้น!
ดังนั้น! คุณจะต้องคิดให้สูงไว้ เพื่อพาตัวเองพุ่งขึ้นไป
คุณจะต้องมี ความเชื่อมั่น ในตัวเองเสียก่อน
คุณจึงจะสามารถได้รับรางวัลในสงครามแห่งชีวิตนั้น!!!
ชัยชนะมิได้เป็นของผู้ที่แข็งแรงกว่าหรือเร็วกว่าเสมอไป!!
ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว...ผู้ที่จะได้รับชัยชนะ...คือ.....
ผู้ที่คิดว่า ฉันทำได้ เท่านั้น "

นโปเลียน ฮิลล์

ธุรกิจเอมสตาร์เริ่มต้นอย่างไร? How to Start a Startup?

1. ตัดสินใจสมัคร/ตัดสินใจทำ/ตัดสินใจประสบความสำเร็จ
2. ใช้สินค้าเพื่อหาความประทับใจ (ใช้ดีแล้วบอกต่อ)
3. เรียนรู้จาก สื่อ และรอบประชุม
- สื่อ (ศึกษา CD เปิดโลกธุรกิจ หรือ Starter Kid เพื่อเคลียร์ความคิดเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย และเข้าใจ แผนการตลาด, สินค้า, ข้อโต้ย้ง และฯลฯ
- รอบประชุม (H/M (ประชุมกลุ่มย่อยรายวัน), Center (ประชุมกลุ่มราย สัปดาห์),The Winner (ประชุมรายเดือน)
4. สื่อ/คอร์สอบรม (ศึกษาจากสื่อ CD/DVD หรือเข้าอบรมคอร์ส เกี่ยวกับ BTC, BTL หรือ สินค้า เพื่อเรียนรู้สินค้า และระบบการทำงานพื้นฐาน (เชิงลึก)ในการสร้างธุรกิจ และคอร์สต่างๆ)
5. นัด อัพไลน์ Up Line เพื่อค้นหาคนเอาจริง (Sponsor ) อย่างน้อย ซ้ายขวา 2 คน เพื่อสู่ผลลัพธ์ รับรายได้ 30,000 ถึง 100,000 บาท/เดือน(ภายใน 1-4 เดือน)
หมายเหตุ – ธุรกิจเอมสตาร์ คือธุรกิจแห่งการเรียนรู้ ก่อนจะไปค้นหา (Sponsor) คนใหม่ คุณต้องติดอาวุธในตัวคุณ คือ 4 เรียนรู้ (รู้สินค้า,แผนการตลาด,ข้อโต้แย้ง และ 4 Why: Why I Join? Why Aim Star? Why Network? Why System?(ความสวยงามของเอมสตาร์) แล้วค่อยค้นหา
ขั้นตอนการหาคนใหม่อย่างมืออาชีพ (5 ค้นหา)
1. จุดไฟใส่ฝัน 2. List รายชื่อ 3.การนัดหมาย 4. สปอนเซอร์ 5. ติดตามผล
(ขั้นตอน 5 ค้นหา ต้องเรียนรู้เริ่มต้นจาก BTC:Basic Training Course ระบบการทำงานพื้นฐาน)

วัฎจักรของการทำงานและพัฒนาทีมงาน1. สปอนเซอร์ คนใหม่เข้ามา (เริ่มจากบริโภคสินค้า)
2. กระตุ้น ติดตาม (จุดไฟใส่ฝันให้มีความหวัง/ความฝัน)
3. พัฒนาให้เป็นผู้นำ (จากผู้บริโภคให้เข้าใจเรื่องธุรกิจ/ระบบ) โดยสร้างผู้นำผ่านระบบ
4. ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ จะถักทอให้เป็นเครือข่ายผู้บริโภคขนาดใหญ่
    (Consumption Network Marketing) ได้

เงื่อนไขความสำเร็จ

สิ่งที่จะทำให้ท่านประสบความสำเร็จได้ ท่านจะต้องมีสิ่งเหล่านี้
1. Ambition ท่านจะต้องมีความทะเยอทะยาน ความฝัน และความใฝ่ฝันที่จะประสบความสำเร็จ จะต้องมีสิ่งที่อยากได้ และมีความมุ่งมั่นที่จะไขว่คว้ามันมาให้ได้
2. Attitude ท่านจะต้องมีทัศนะคติหรือความเห็นที่ถูกต้อง เป็นคนคิดบวกอยู่เสมอ มีความเข้าใจในธรรมชาติธุรกิจ ตอนนี้ท่านรู้หรือเปล่าว่า Aim star ดียังไง ลงทุนแค่ 300 บาท แต่ท่านจะมีธุรกิจที่ถาวร เป็น passive income ในระยะเวลาอีกแค่ 1 ปี หรือ 2 ปีข้างหน้านับต่อจากนี้ สิ่งดีๆกำลังจะรอท่านอยู่ แล้วเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ลงทุน ไม่ลองแกล้งๆเชื่อ ลองทำดูซักระยะ
3. Believe ท่านเชื่อหรือเปล่าว่า Aim star สามารถเปลี่ยนชีวิตท่านได้ ท่านเชื่อหรือเปล่า ว่าท่าน ก็สามารถทำได้ เพียงแค่เราเชื่อว่าเราทำได้ ไม่ว่าปัญหาและอุปสรรคอะไร ก็ไม่สามารถหยุดรั้งเราไว้ได้ขอเพียงแค่เรามุ่งมั่น ตั้งใจทำมันให้สำเร็จ อีกระยะเวลาอีกแค่ 1 ปี-2 ปี เราก็จะเป็นอิสระภาพแล้ว
4. Commitment พันธะสัญญา หรือความรับผิดชอบต่อความฝันของตัวเอง และลงมือทำอย่างสุดความสามารถ สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้ท่าน สามารถประสบความสำเร็จได้เร็วกว่าคนอื่นๆ จะทำให้ท่านแซงผู้ที่มาก่อนได้
5. Determination สุดท้ายแล้วก็คือการตัดสินใจ อย่างมุ่งมั่น ที่จะประสบความสำเร็จลงมือทำ ลุยอย่างเต็มที่ ภายในระยะเวลาไม่นานท่านก็จะประสบความสำเร็จได้
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็น และเป็นเงื่อนไขสำคัญของความสำเร็จ บุคคลใดก็ตามที่ขาดสิ่งเหล่านี้ ก็จะประสบความสำเร็จได้ยาก แต่ในทางกลับกัน ผู้ที่ทำในสิ่งเหล่านี้อย่างเต็มที่ ก็จะประสบความสำเร็จได้ก่อนผู้อื่น ด้วยความรวดเร็วนั่นเองครับ ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แล้วพบกันที่ความสำเร็จครับ ทุกๆท่าน

บางสิ่งบางอย่างถ้าเราใช้สายตามองอย่างเดียวมันก็จะเห็นแค่ทิวทัศน์
แต่วันนี้เราใช้สายตาบวกมันสมองมันคือวิศัยทัศน์ นั่นเอง

คุณลักษณะของผู้ที่จะประสบความสำเร็จ ที่มี SPAMIT

เมื่อเรามาวิเคราะคุณลักษณะของผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอยุ่แล้ว จากผู้ที่ฝ่าฟันมาจาก
ผู้ยากจน หรือยังไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่ต้น จะพบว่า พวกเขาเหล่านั้น มักจะมีคุณลักษณะหลักๆ
ที่เหมือนๆกัน ดังต่อไปนี้
1.Successful มีภาพความสำเร็จที่ชัดเจน มีความขยันมุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จ
2.Positive Thinking มีความคิดที่เป็นบวกอยู่เสมอ ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้าย
   เพียงใด เค้าก็จะสามารถฝ่าฟันจนผ่านพ้นไปได้
3.Ambition มีความใฝ่ฝันทะเยอทะยาน และมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ และเป้าหมายในชีวิต
4.Motivation มีแรงบันดาลในในการทำงาน และมีความขยัน ตื่นตัวอยู่เสมอ ส่วนใหญ่
   มักจะไม่ทำงานเดียว มักจะมีธุรกิจอยู่หลายๆตัว จับธุรกิจอยู่หลายๆอย่าง เพื่อความสำเร็จ
   และความฝันในชีวิต
5.Integrity มีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงานของตนเอง และสังคม เป็นคนดี ชอบช่วย
   เหลือผู้อื่นอยู่เสมอ มีคุณธรรม
6.Teachable สามารถถูกสอนได้ มีลักษณะชอบการเรียนรู้ เหมือนน้ำไม่เต็มแก้ว มองสิ่ง
   รอบๆข้างเป็นครูเราอยู่เสมอ ไม่ถือตัว ถึงแม้ผู้ที่กำลังพูดด้วยเป็นเด็กกว่าก็ตาม มักจะฟังแล้ว
   เก็บสิ่งที่เป็นประโยชน์มาคิดเพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
  ซึ่งโดยรวมๆแล้ว บุคคลเหล่านี้มักจะมีอัธยาสัยดี รักการเรียนรู้ มีความขยัน คิดต่างจากคนทั่วๆ
  ไป เป็นคนดีชอบช่วยเหลือผู้อื่น มักจะแก้ปัญหาที่มาถึงได้ทุกครั้ง หรือที่เราเรียกกันโดยรวมๆ
  ถึงบุคคลเหล่านี้ว่ามี SPAMIT ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งหลาย
  ซึ่งก็หมายความว่า ถ้าเราต้องการจะประสบความสำเร็จในชีวิต เราก็ต้องทำตนเองให้เป็นบุคคล
  ที่มี SPAMIT นั่นเอง วันนี้เราลองถามตัวเองดูว่าเรามี SPAMIT แล้วหรือยัง การที่เรามีการปรับ
  ปรุง เปลี่ยนแปลงตนเองอยู่เสมอ ก็นับว่าเราเป็นบุคคลที่มี SPAMIT แล้ว ตรงนี้นับว่าเป็นจุด
  เริ่มต้นที่ดีของการประสบความสำเร็จในชีวิต
  ในการทำธุรกิจเครือข่าย ถ้าเราต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต สิ่งที่เราต้องทำก็คือ
  1.ทำตัวเองให้มี SPAMIT
  2.ค้นหาคนที่มี SPAMIT มาร่วมงานด้วย
  3.ถ่ายทอดเรื่องการค้นหา SPAMIT หรือการทำตนเองให้มี SPAMIT ลงไปในองค์กร
  ถ้าหากคุณเป็นคนที่มี SPAMIT อยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่คุณก็มักจะมีบุคคลที่มี SPAMIT
  อยู่รอบๆข้างคุณอยู่แล้ว หรือคุณอาจจะรู้จักบุคคลเหล่านี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็นับได้ว่า
  ถ้าคุณจะประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย ก็สามารถทำได้ไม่ยาก โดยส่วนใหญ่ผู้คน
  เหล่านี้ก็มักจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่ตนเองทำอยู่แล้วในระดับหนึ่ง
  ซึ่งจะเป็นการง่ายต่อความสำเร็จถ้าหากคุณไปสปอนเซอร์คนเหล่านี้มาร่วมงานกับคุณซึ่งจะทำ   ให้คุณทำงานง่าย ไม่เหนื่อย และจะเข้าใจอะไรได้ตรงกัน จูนคลื่นกันง่าย ซึ่งจะแตกต่างจาก
  การที่คุณไปสปอนเซอร์คนที่ยังไม่มี SPAMIT อาจจะมีแต่ก็ยังไม่มี ซึ่งกว่าที่คุณจะใส่ความ
  คิด ความเข้าใจ ในการทำงานลงไป จนกว่าเค้าจะเข้าใจ ในสิ่งเหล่านี้ได้ ก็จะทำให้คุณเสีย
  เวลามากยิ่งขึ้น เหนื่อย บางทีก็อาจจะทำให้คุณท้อจากธุรกิจนี้ไปเลยก็ได้
  จะต้องสปอนเซอร์บุคคลที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้วหรือเปล่า?
  ให้เลือกผู้ที่เหมือนจะประสบความสำเร็จ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ยังอยู่ในระหว่างการก้าว
  บันได ยังมีความฝันอยู่ เพราะถ้าเราไปสปอนเซอร์บุคคลที่สำเร็จแล้ว เค้าทำความฝันของเค้า
  เป็นจริงแล้ว และถ้าเค้าไม่ฝันต่อ เค้าก็จะไม่ไขว่คว้าอะไรอีกต่อไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเค้าก็
  จะไม่มีทางมาทำอะไรเพิ่มเติมอีกอยู่ดี
  จะต้องสปอนเซอร์บุคคลที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตหรือเปล่า?
  คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตมีหลายกลุ่ม อย่างเช่น ขยันทำมาหากินอยู่ มี SPAMIT
  แต่เครื่องมือที่จับอยู่ อาจจะทำให้เค้าประสบความสำเร็จได้ช้า หรือมีปัญหาอยู่ คนกลุ่มนี้เราก็
  ควรที่จะให้การสปอนเซอร์ ควรเปิดโอกาสให้เค้าได้พบกับเครื่องมือที่ดีกว่า แต่สำหรับ
  บุคคลที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะชีวิตเค้า เค้าไม่ได้ต้องการไขว่คว้าความสำเร็จ
  อาจจะไม่อยากทำงานหลายๆอย่าง พร้อมกัน เพราะกลัวเหนื่อย หรือกลัวทำไม่ได้ บุคคลเหล่า
  นี้ก็มักที่จะยากที่จะประสบความสำเร็จ แต่เราจะเลือกสปอนเซอร์หรือเปล่า ให้เราพิจารณาดูว่า
  เค้าพร้อมที่จะพัฒนาตนเองหรือเปล่า ถ้าดูแล้วคิดว่าเค้าน่าจะพัฒนาได้ ก็ควรให้การสปอนเซอร์
  และก็ต้องใส่แนวคิดให้เค้าเยอะๆ ให้เค้าพัฒนาความคิดตัวเองให้มี SPAMIT ให้ได้ เมื่อเค้า
  เข้าใจ เค้าก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ แต่ถ้าดูแล้วเราคิดว่า เค้าน่าจะยากที่จะพัฒนา
  (ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพัฒนาไม่ได้ คนทุกคนสามารถพัฒนาได้) เราก็อาจจะให้ความสำคัญ
  กับเค้าในลำดับท้ายๆ ก่อนอื่นสิ่งที่ควรทำคือ ใส่ความรู้ ความเข้าใจ ในการดำเนินชีวิต ให้แนว
  คิด ทำให้เค้าอยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตก่อน เมื่อเค้าอยากที่จะประสบความสำเร็จ
  แล้ว ก็จะง่ายต่อการพัฒนา ให้มี SPAMIT ยิ่งๆขึ้นไปได้
 “ความสำเร็จอยู่ที่การไขว่คว้า ไม่ใช่รอแต่เวลาที่มาถึง”

คุณลักษณะของผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต

จากข้อมูลคุณหมอพนินทร์ คอร์ส The Winner
คุณลักษณะคนที่จะประสบความสำเร็จ
1.เป็นคนดีและ รู้จักความลับของชีวิต คือ รู้จักการแบ่งปัน ยิ่งเราให้มากกับคนอื่นเท่าใด ชืวิตเราก็
   จะได้สิ่งนั้นมากเท่านั้น ความสำเร็จในชีวิตเกิดขึ้นเมื่อเราได้เพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง
   ไปสปอนเซอร์ด้วยหัวใจที่อยากแบ่งปัน
2.เป็นต้นแบบที่ดีในการทำธุรกิจที่ถูกต้อง อย่างทำสิ่งที่ถูกใจจงทำสิ่งที่ถูกต้อง
   เข้าบรรยากาศตลอดเวลา
3.มีพันธะสัญญามั่นคงต่อเป้าหมาย
4.มีทัศนคติที่ดีต่อในการดำรงชีวิต และการสร้างธุรกิจเอมสตาร์
5.มีความซื่อสัตย์ และจริงใจในการดำรงชีวิต และการสร้างธุรกิจ
6.มีหัวใจของความเป็นเจ้าของธุรกิจ
7.ยึดมั่นในกฏจรรยาบรรณ นักธุรกิจเอมสตาร์
8.มีเป้าหมายต่อการสร้างความสำเร็จที่ชัดเจน
9.มีหัวใจของผู้ชนะ ไม่คิดจะยอมแพ้หรือล้มเลิก ทำตัวเองให้สำเร็จเร็วที่สุด

“ความสำเร็จอยู่ที่การไขว่คว้า ไม่ใช่รอแต่เวลาที่มาถึง”
--------------------------------------------

ข้อคิด คำคม สร้างแรงบันดาลใจ

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

ข้อคิดดีๆสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง

ฟ้ามิได้แบ่ง ‘ยอดคน’ กับ ‘คนธรรมดา’ ออกจากกัน
ยอดคนจะปรากฏขึ้นเสมอแต่นั้นมิใช่เพราะ ‘ฟ้ากำหนด’ การที่ "ยอดคน"
ปรากฏขึ้นได้เพราะ เขาผ่านการ "ฝึกฝน" และ "เรียนรู้" ที่จะเป็นยอดคน
................................................................
"อัจฉริยะ" ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด
คนเก่งได้นั้นต้องได้รับการฝึกฝน “ม้าดี ต้องมีคนขี่มาฝึกฝน”
นักกีฬาที่ดีต้องมีโค้ชที่ดีมาฝึกฝน
....................…................................
Don't Look Down Yourself. จงอย่าคิดดูถูกตัวเอง
อดีตไม่สำคัญว่าเราเป็นใคร สำคัญที่ว่าวันนี้เราต้องการเป็นใคร
จงเคารพนับถือในความสามารถของตัวเอง ยกย่องและให้เกียรติตัวเอง
..................................…........................
สมองของคนเราเหมือนพื้นดินที่ว่างเปล่า
เมื่อเราปลูกอะไรลงไปเราก็จะได้ผลเป็นอย่างนั้น ... จงปลูกฝังแต่สิ่งดีๆ
ลงไปในสมองคำพูดใดๆ ที่เราเคยได้ยินซ้ำๆ ซากๆ เกิน 37 ครั้ง มันจะกลายเป็น
"อุปนิสัย" ของเราทันที
..................................…........................
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือ "สิ่งแวดล้อม" อย่าปล่อยให้ความคิด
หรือคำพูดของคนบางคนมาตัดสินชีวิตของเรา
ในโลกนี้ไม่มีใครมีอิทธิพลกับตัวเราเอง
นอกจากตัวเราเอง
......................................….....................
ชีวิตไม่ใช่เกมส์กีฬา ไม่มีเวลาพักครึ่ง ไม่มีการขอเวลานอก และที่สำคัญคือ
‘เปลี่ยนตัวผู้เล่นไม่ได้’ ไม่มีใครเกิดมา ‘ล้มเหลว’ มีแต่ ‘ล้มเลิก’
.........................................
คนฉลาด.. ต้องโง่เป็น คนโง่ไม่เป็น..จะไม่มีทางฉลาด
.........................................
เพียงคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็ทำได้ตั้งแต่ที่คุณคิด
แต่หากคุณคิดว่าคุณทำไม่ได้
คุณก็ทำไม่ได้ตั้งแต่ที่คุณคิด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์
คือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ‘ทางจิต’ ที่ตอกย้ำตัวเองว่า .. ทำไม่ได้
………………………………………………………………………….
แม้แต่ "คิด" ยังไม่กล้าที่จะคิด แล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?
จงกล้าที่จะเผชิญความล้มเหลว.. ความล้มเหลวคือครูที่ทดสอบตัวเรา
If you want to have success, you have no choice.
.......................................................................
มนุษย์ คือจุดศูนย์กลางของเส้นรอบวงที่ไม่มีขีดจำกัด .. ทำไม?
มนุษย์เหมือนกันจึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะ
มนุษย์แต่ละคนได้รับโอกาสทางความคิดที่แตกต่างกัน
................................................................
คนสำเร็จมองปัญหาเป็นโอกาส คนล้มเหลวมองโอกาสเป็นปัญหา
คนสำเร็จจะปรับตัวเองไปหาโลกภายนอก คนล้มเหลวจะให้โลกภายนอกปรับตัวเข้าหาตัวเอง
Team work is less ‘E-GO’ and more ’WE GROW’
.................................................................
คนสำเร็จระดับผู้บริหาร เป็นผู้นำขององค์กรต่างๆ ในโลกนี้ กว่า 85%
ทั่วโลกล้วนแล้วแต่มิใช่คนเก่ง แต่เป็นคนดีทั้งสิ้น คนเก่ง.. มักจะมี
‘อัตตา’จะไม่ยอมปรับตัวเข้าหาโลก ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
ไม่ยอมรับการพัฒนา..ความรู้ และสิ่งใหม่ๆ ‘ปกครองคนไม่ได้’
คนเก่ง..ใช้เวลา 2-3 ปี ก็สอนให้เก่งได้ .. แต่.. คนดีต้องใช้เวลา ‘ชั่วชีวิต’ สอนกัน
คนเก่งมักจะขาดความจงรักภักดี ไม่มีความกตัญญู
......................................................................
"ความรู้" เป็นเพียง "พลังอำนาจแฝง" ชนิดหนึ่งเท่านั้น "ความรู้"
จะกลายเป็น "พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่" ได้ก็ต่อเมื่อมันถูกนำไปใช้อย่างชาญฉลาดเท่านั้น
............................……………………………………….
ฟัง..แต่..ไม่ได้ยิน ได้ยิน..แต่..ไม่เข้าใจ เข้าใจ..แต่..ไม่ลึกซึ้ง
ลึกซึ้ง..แต่..ไม่แตกฉาน แตกฉาน..แต่..นำไปใช้ไม่เป็น !!!
จงนำศักยภาพและอัจฉริยภาพที่ซ่อนเร้นในตัวเรา มาใช้อย่างชาญฉลาด

คิดและทำอย่างคนสำเร็จ

คิดและทำอย่างคนสำเร็จ
1.ทุกสิ่งที่คุณคิด ตัดสินใจ เลือก และลงมือทำ ต้องมาจากหัวใจของคุณเอง
2.คุณต้องจัดการกับตัวเองในเรื่องที่สำคัญที่สุด คือ การบริหารเวลา กับ การใช้ชีวิตของคุณ
3.คุณต้องจัดลำดับความสำคัญของงานในชีวิตของคุณให้ชัดเจน
4.คุณต้องมีหัวใจ "รักการเรียนรู้" เป็นอันดับหนึ่ง
5.คุณต้องทำงานพื้นฐานของการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เพราะเอมสตาร์เป็น Relationship Business
6.คุณต้องทำงานอยู่ใน ระบบของการสร้างธุรกิจเอมสตาร์ ที่ถูกต้อง
เช่น
-House Meeting การประชุมกลุ่มย่อย (เนื้องานรายวัน)
-Center Meeting การประชุมเซ็นเตอร์ (เนื้องานรายสัปดาห์)
-Basic Training Course เรียนรู้และศึกษา คอร์สการเริ่มต้นธุรกิจ
-VIO OPP เรียนรู้และศึกษา การเปิดโอกาสทางธุรกิจ
-Mini EXPO งานแสดงสินค้าที่จัดขึ้นภายในกลุ่ม
-Camp เรียนรู้และศึกษา งานแคมป์กลุ่ม
-คอร์สฝึกอบรมสินค้าและงานที่บริษัทจัดขึ้น เช่นงานแสดงสินค้า EXPO, The Winner
  (เนื้องานรายเดือน)
7.คุณต้องมีหัวใจของนักสู้ และผู้ชนะ

สนใจติดต่อ - cherrypowergroup@gmail.com

House Meeting สำคัญอย่างไร

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

House Meeting เป็นการจัดประชุมกลุ่มย่อย ซึ่งจะมีผู้ร่วมประชุมตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป จนถึง 30 คน โดยจะเน้นการจัดการประชุมแบบง่ายๆ ที่บ้านของผู้นำ บ้านของทีมงาน ตามร้านกาแฟ หรือฟาสต์ฟู้ด เป็นต้น
วัตถุประสงค์ของการจัด House Meeting
- เพื่อเปิดโอกาสทางธุรกิจให้ผู้มุ่งหวังใหม่
- เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มุ่งหวังหรือนักธุรกิจใหม่ได้เรียนรู้และเข้าใจธุรกิจ Aimstar มากขึ้น
- เพื่อกระชับความสัมพันธ์ภายในกลุ่มย่อยๆของตัวเอง
- เพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกฝนทักษะในการทำธุรกิจ
- เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะพัฒนา House Meeting ให้เติบโตเป็น Center ในอนาคต
House Meeting มี 2 แบบ คือ
1) OPP – House Meeting
เป็นการบรรยายเรื่องราวของบริษัท Aimstar เพื่อให้สมาชิกใหม่และผู้มุ่งหวังมองเห็นโอกาสจนเกิดความต้องการบางอย่าง เช่นอยากใช้สินค้าอยากบอกเพื่อนต่ออยากลองทำ Aimstar ดู ฯลฯ
2) Training – House Meeting
จัดขึ้นเพื่อใช้ฝึกฝนทักษะในการทำธุรกิจให้กับทีมงาน
House Meeting มี 2 ระดับ
 House Meeting ระดับต้น (มีประมาณ 3-10 คน)
 House Meeting ระดับมาตรฐาน (มีประมาณ 10-30 คน)
House Meeting ระดับต้น (มีประมาณ 3-10 คน) แบ่งเป็น
OPP สำหรับหัวหน้า House Meeting
- เน้นบรรยากาศสบายๆ แบบเป็นกันเอง ไม่เน้นพิธีรีตองอะไรมากมาย
- แนะนำตัวเอง ชื่อจริง ชื่อเล่น ไม่ต้องบอกตำแหน่งหรือเกียรติรางวัลอะไรทั้งสิ้น
- ทักทายคนใหม่ อย่างเป็นกันเองกับคนที่เราได้รู้ Profile มาก่อนจากการทำงานร่วมกันกับ
Downline
- ถ้าเป็น Downline ใหม่ บางทีอาจชวนคนใหม่มาด้วยเลย โดยไม่ได้มีการ แจ้งหัวหน้า House
Meeting ให้รอ Downline ใหม่แนะนำคนใหม่ให้เรารู้จักก่อนแล้วค่อยทักทาย
- ถ้า Downline ใหม่ ยังไม่รู้หน้าที่ของตัวเองให้เราถามชื่อคนใหม่เองเลย แล้วถามว่ามากับใคร
- ถามคนใหม่ๆที่เรายังไม่รู้จัก Profile ทีละคน ว่าทำงานอะไรอยู่ ทำนานรึยัง แล้วตอนนี้เป็นยังไง
บ้าง
- ส่วนคนใหม่ๆ ที่เรารู้จัก Profile แล้ว ให้เราถามถึงงานที่ทำว่า วันนี้เป็นยังไงบ้าง
- เมื่อทักทายกันครบแล้ว ให้เราพูด Why Network? Why Aimstar? จากนั้นต่อด้วย
Why I join Aimstar?
- แต่ถ้าเราเป็นหัวหน้า House Meeting ใหม่ ที่มี Upline มาช่วยทำ House Meeting ให้เรา
แนะนำชื่อเล่นพร้อม Promote Upline ในส่วนที่เราประทับใจให้กับคนใหม่ๆ และทีมงานฟัง
- จากนั้น Upline ก็จะทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเอง และจะพูดในส่วน Why Network?
Why Aimstar? และ Why I Join Aimstar?
- แนะนำบริษัท สินค้า และแผนธุรกิจ โดยใช้สื่อการนำเสนอ ถ้ามีตัวอย่างสินค้าให้ทดลองก็ยิ่งดี
แต่ถ้าไม่มีไม่เป็นไร
- ตอนสรุปให้กระตุ้นคนใหม่ๆ ว่าธุรกิจ Aimstar คือโอกาส เราไม่ทำคนอื่นก็ทำ คนอื่นนั้นอาจ
จะเป็นเพื่อนเราก็ได้
- จากนั้น Promote ภาพผู้นำที่ประสบความสำเร็จ เล่าประวัติของแต่ละคนอย่างคร่าวๆ
(ส่วนใหญ่ใช้ของคุณนิธิโรจน์-คุณพรภินันท์, คุณทัตธัญวรัตน์-คุณวรัตถ์นิทิศ, คุณธเนศ,
คุณจรุงศักดิ์-คุณอัจฉรา)
- After Meeting โดยถามความรู้สึกจากคนใหม่ๆ ว่ารู้สึกยังไงบ้างกับข้อมูลที่ได้ฟังในวันนี้
- ก่อนจากกันให้ Promote คนใหม่ๆ เข้า House Meeting มาตรฐานของ Upline
ที่สูงขึ้นไป หรือ Promote ให้เข้า Center
- ในกรณีที่มี Upline มาช่วยทำ House Meeting ให้ประเมินผลการทำ House Meeting
ว่าเป็นยังไงบ้าง มีข้อควรปรับปรุงแก้ไขอะไรบ้าง
- ติดตามผลจาก Downline อีกครั้งว่าคนใหม่ๆ รู้สึกยังไงหลังจากกลับไปแล้ว
OPP สำหรับสมาชิก House Meeting
- ควรวิเคราะห์รายชื่อผู้มุ่งหวังร่วมกับ Upline ตั้งแต่แรกก่อนพาเข้า House Meeting
ยิ่งผ่านการทำ 8 ชวนมาก่อนได้ยิ่งดี
- แจ้ง Profile ข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนการเปิดใจของคนใหม่ที่เราจะพาเข้า House
Meeting กับหัวหน้า House Meeting
- ถ้าคนใหม่มีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับ Aimstar ให้แจ้งหัวหน้า House Meeting ด้วย
- จำไว้ว่าถ้าเราแจ้งข้อมูลคนใหม่ของเรากับหัวหน้า House Meeting ได้มากเท่าไหร่
โอกาสที่หัวหน้า House Meeting จะช่วยปิด Sponsor คนใหม่ให้กับเราจะยิ่งมีมากขึ้น
- ถ้าคนใหม่มีทัศนคติลบ แต่ก็ยังคงเข้าร่วมฟังข้อมูล ให้รีบแจ้งหัวหน้า House Meeting
อย่างด่วน
- ไม่ควรหลอกล่อคนใหม่มา House Meeting เราควรทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา
- ถ้าตัวเราติดธุระมากับคนใหม่ไม่ได้ ต้องรีบแจ้งให้หัวหน้า House Meeting รับรู้ล่วงหน้า
- เราควร Promote House Meeting ก่อนพาคนใหม่มาเข้า โดยบอกความประทับใจของ
เราที่มีต่อ House Meeting เช่น บรรยากาศเป็นกันเอง, ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์
มากมาย, ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ เป็นต้น
- เราควร Promote หัวหน้า House Meeting ให้คนใหม่รับรู้ตามสมควร โดยพูดถึง
ความประทับใจที่มีต่อหัวหน้า House Meeting
- เมื่อพาคนใหม่มาถึงแล้ว อย่าลืมแนะนำคนใหม่ให้หัวหน้า House Meeting ได้รู้จักอีกครั้ง
- เมื่อ House Meeting เริ่มต้นขึ้นให้เราตั้งใจเรียนรู้การทำ House Meeting
จากหัวหน้า House Meeting พร้อมๆกับคอยสังเกตความสนใจของคนที่เราพามาด้วย
- อย่าชวนคุยในขณะฟังการบรรยาย ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม
- ไม่ต้องคอยอธิบายประกอบ ปล่อยทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของหัวหน้า House Meeting
ถ้าเราอยากอธิบายอะไรเพิ่มเติม ให้รอคุยนอกช่วงเวลาบรรยาย
- ถ้าอยากเสริมในบางเรื่อง เช่น ยกตัวอย่างประสบการณ์ ให้ส่งสัญญาณกับหัวหน้า
House Meeting เพื่อขอโอกาส ถ้าหัวหน้า House Meeting ไม่เปิดโอกาสให้พูดห้าม
น้อยใจเด็ดขาด
- ถ้าได้รับโอกาส ไม่ควรพูดจนนานยืดเยื้อ ควรพูดเข้าประเด็นแล้วจบภายในเวลาไม่เกิน
1-2 นาที
- ช่วง After Meeting ให้พูดถึงสิ่งที่เราได้เรียนรู้ในวันนี้เท่านั้น และควรใช้เวลาไม่เกิน
1 นาที เราไม่ควรใช้โอกาสของ After Meeting บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ หรือสอน
งานกับทุกคนที่มา เพราะเราไม่ใช่หัวหน้า House Meeting
- หาโอกาสเดินไปส่งคนใหม่กลับบ้านเพื่อถามความรู้สึกที่แท้จริงอีกครั้งดูว่ามีอะไรที่ยังไม่
เข้าใจ เราจะได้อธิบายให้เขาเข้าใจมากขึ้น
- ให้ยืม CD ที่เราเห็นว่าเป็นการเติมข้อมูลให้กับเขาเพิ่มขึ้น พร้อมกับ Promote เมื่อดู
จบแล้วเอามาคืนเราใน House Meeting หรือ Center ที่จะถึงในครั้งหน้า
- ถ้าเพื่อนไม่รีบกลับ หาที่นั่งคุยกันต่อได้ยิ่งดี
- โทรรายงาน Feedback ของคนใหม่ให้กับ Upline หรือหัวหน้า House Meeting
อีกครั้ง เพื่อประเมินผลการทำ House Meeting ภายในเวลาไม่เกิน 24 ชม.
Training สำหรับหัวหน้า House Meeting
- แจ้งให้สมาชิกทราบหัวข้อในการฝึกสอนล่วงหน้าก่อนถึงวันประชุมเสมอ
- เน้นสอน 4 ชัวร์ เป็นหลัก
- ไม่ควรมีคนใหม่ในรอบ Training House Meeting
- ถ้ายังไม่มั่นใจตัวเอง ควรเชิญ Upline ที่ชำนาญกว่ามาเป็นผู้ฝึกสอน แล้วรีบฝึกฝนตัว
เองให้เก่งขึ้น
- ฝึกสอนโดยให้สมาชิกแสดงให้เราดู จากนั้นให้บอกข้อควรปรับปรุงแก้ไข
- เปิดโอกาสให้สมาชิกที่ฝึกได้ดีแล้ว มาช่วยทำ OPP-House Meeting
Training สำหรับสมาชิก House Meeting
- พยายามฝึกฝน 4 ชัวร์ ด้วยตนเองก่อน โดยดูจากสื่อต่างๆ และจากการเรียนรู้ใน
OPP House Meeting หรือ Center อยู่เสมอ
- แสดงผลการฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ใน Training House Meeting
- รับฟังข้อเสนอแนะจากหัวหน้า House Meeting ในการพัฒนาการปรับปรุงแก้ไข
- ถ้าฝึกฝนจนทำได้ดีแล้วควรอาสาที่จะช่วยบรรยายใน OPP House Meeting ในบาง Part
- เตรียมพร้อมที่จะเป็นหัวหน้า House Meeting ด้วยตัวเองในอนาคต
House Meeting มาตรฐาน (มีประมาณ 10-30 คน)
OPP สำหรับหัวหน้า House Meeting
- ควรจัด House Meeting โดยมีสถานที่ประจำ ถ้าเป็นบ้านของหัวหน้า House
Meeting ได้ยิ่งดี
- ควรมี White Board, ชุดสาธิตสินค้า, Stock สื่อต่างๆ
- เตรียมที่นั่งให้เพียงพอ
- เน้นบรรยากาศเป็นกันเอง แต่แอบมีพิธีรีตองนิดหน่อย
- จะมี MC เป็นเหมือนผู้ดำเนินรายการโดยกล่าวต้อนรับ และคอยเชิญวิทยากรมาให้ความรู้
ในแต่ละช่วงของ House Meeting
- หัวข้อการบรรยายใน House Meeting จะประกอบด้วย
1) Why Network (โจทย์ชีวิต + Why network)
2) บริษัท (รายละเอียดบริษัท, ประวัติ + วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร, บันทึกหน้าประวัติศาสตร์
ของบริษัท)
3) สินค้า (ภาพรวมสินค้า 5 กลุ่ม, ประโยชน์ของน้ำมันรำข้าว, สาธิตสินค้า)
4) แผนธุรกิจ
5) สรุป ( 6 สมดุลชีวิต, Promote สื่อ, โปรโมชั่นต่างๆ และกิจกรรมในเดือนนี้
ทั้งของกลุ่มและบริษัท)
- ผู้ที่มีหน้าที่ใน House Meeting ควรแต่งตัวให้ดูดี น่าเชื่อถือ
- ติดต่อวิทยากรในแต่ละส่วนก่อนเริ่ม House Meeting สัก 1 ชม.ว่า เดินทางมาถึงไหนแล้ว
- ถ้าวิทยากรติดขัดไม่สามารถมาได้กะทันหันให้รีบหาคนแทน และคนแทนควรแต่งตัวดี น่าเชื่อถือ
- ถ้าหาคนแทนไม่ได้จริงๆ ให้หัวหน้า House Meeting แทน
- จัดเตรียมเก้าอี้ไว้สักครั้งหนึ่งของจำนวนคนที่คิดว่าจะมา พอคนมาเกินจำนวนเก้าอี้
ก็ค่อยยกมาเพิ่มเติมทีหลัง
OPP สำหรับหน้าที่ของ MC (ใช้เวลาใน House Meeting ประมาณ 10 นาที)
- เตรียมข้อมูลชื่อ-นามสกุล, ชื่อเล่น, เกียรติรางวัลของวิทยากรในแต่ละหัวข้อให้พร้อม
- ประสานงานกับหัวหน้า House Meeting ให้แน่ใจว่า วิทยากรทั้งหมดพร้อมแล้ว
- ก่อนจะเริ่ม House Meeting ให้นึกถึงปัญญากับมยุราสัก 1 นาที
- เมื่อเตรียมความสดใสพร้อมแล้วให้เริ่มต้นกล่าวต้อนรับทุกคน สู่การเปิด โอกาสทางธุรกิจ Aimstar
- เราจะเลี่ยงไม่ใช่คำว่า “ House Meeting ” เพื่อให้คนใหม่ไม่งง
- จากนั้นให้ถามว่า ใครมาเป็นครั้งแรกบ้าง
- ให้คนใหม่ๆ แนะนำตัวเองพร้อมๆ กับบอกชื่อผู้ที่แนะนำมา
- อาจถามแต่ละคนถึงงานที่ทำไปด้วย ตามความถนัดของ MC
- วิทยากรใช้โอกาสนี้ดูว่าคนใหม่ๆ คนไหนที่มีความเป็นกันเองพอที่จะมีส่วนร่วมในการบรรยาย
ได้ให้เล็งไว้
- เมื่อทำความรู้จักคนใหม่ๆ เสร็จแล้วให้เราแนะนำตัวเองสั้นๆ ว่า เข้ามาทำธุรกิจนานเท่า
ไหร่แล้ว เช่นเมื่อก่อนตอนแรกๆ ก็มานั่งฟังอย่างนี้แหละ พอฟังจบแล้วก็เห็นโอกาส
เลยตัดสินใจลองทำดู ทุกวันนี้ก็มีรายได้ xx,xxx บาท....
- จากนั้นให้เปิดใจคนใหม่ๆ ว่า เนื้อหาที่ทุกคนจะได้รับการแบ่งปันในวันนี้ อาจเปลี่ยนแปลง
ชีวิตเราได้ทั้งชีวิต ไม่ว่าเราจะเคยได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวที่อาจจะคล้ายๆ กันมาก่อนหรือ
เปล่า แต่อยากให้เราลองเปิดใจฟังเรื่องราวธุรกิจ Aimstar ดู เราอาจพบว่า ธุรกิจ
Aimstar อาจเป็นสิ่งที่เราค้นหาอยู่ทั้งชีวิตก็ได้
- พูดส่งให้กับวิทยากรช่วงต่อไปแบบสวยๆ แล้วค่อยเชิญวิทยากร โดยบอกชื่อ นามสกุล
และเกียตริรางวัล
- MC ต้องฟังเนื้อหาที่วิทยากรทุกคนพูด และจับประเด็นที่น่าสนใจให้ได้
- เมื่อวิทยากรแต่ละคนพูดจบ ให้ขยายจุดเด่น และโดนๆ อีกครั้งก่อนที่จะพูดส่งแบบสวยๆ \
ให้วิทยากรคนถัดไป
- ถ้าวิทยากรคนไหนพูดอะไรตกหล่นไป MC สามารถพูดเก็บตกได้ ถ้าพิจารณาแล้วว่าเป็น
เรื่องที่สำคัญจริงๆ
- เมื่อวิทยากรคนสุดท้ายพูดจบ ให้ MC นำเข้าสู่ขั้นตอนการ After Meeting โดยเชิญ
ให้แต่ละคนพูดถึงสิ่งที่ตนเองได้รับในวันนี้
- เมื่อทุกคนพุดจบให้ MC เชิญหัวหน้า House Meeting มากล่าวทิ้งท้ายก่อนให้ทุกคนแยกย้ายกันไป
OPP สำหรับหน้าที่ของวิทยากรทุกคน (ใช้เวลาใน House Meeting ประมาณ 1-2 นาที)
- หลังจาก MC เชิญออกมา ให้แนะนำตนเองอีกครั้ง โดยไม่ต้องบอกเข็มรางวัล
- กล่าวขอบคุณผู้เปิดโอกาสโดยยกเกียรติรางวัลขึ้นมาก่อน แล้วค่อยบอก ชื่อ-นามสกุล
ของผู้เปิดโอกาส
- พูด Why I join หัวข้อที่ตัวเองจะบรรยาย เพื่อนำความสนใจของผู้ฟังเข้าสู้เนื้อหา
- ก่อนจบการบรรยายให้ทิ้งท้ายสวยๆ ทุกครั้ง
OPP สำหรับหน้าที่ของวิทยากร Why Network (ใช้เวลาใน House Meeting ประมาณ 20 นาที)
- โจทย์ชีวิต
• ควรมีทักษะของโจทย์ชีวิตประมาณ 3 เรื่อง เราจะได้เลือกเรื่องที่เหมาะกับผู้ที่มาฟัง
ในวันนั้นได้ดีที่สุด
• เลี่ยงการยิงคำถามกดดันคนใหม่ๆ ให้อึดอัดใจ
• เน้นพูดคุยให้บรรยากาศสบายๆ
- Why Network
• ตรวจสอบทัศนคติของคนใหม่ๆ ก่อน อาจถามนำว่า มีใครเคยมีคนมาชวนทำธุรกิจ
เครือข่ายมาก่อนบ้าง แล้วรู้สึกกับธุรกิจเครือข่ายยังไง
• จากนั้นก็บรรยายตาม Concept ที่เตรียมมา
• ต้องพูดเรื่องการตลาดทั่วไปกับการตลาดแบบเครือข่ายทุกครั้ง
OPP สำหรับหน้าที่ของวิทยากร บริษัท (ใช้เวลาใน House Meeting ประมาณ 20 นาที)
- รายละเอียดบริษัท
• บริษัทของคนไทย
• เปิดดำเนินการมากี่ปีแล้ว
• ปัจจุบันมียอดขายเท่าไหร่ เป็นอันดับที่เท่าไหร่ของวงการ
• ทำธุรกิจด้วยเงินสด ไม่ใช้เงินกู้
• สินค้าเป็นของอุปโภคบริโภค เพื่อสุขภาพและความงาม
• มีสำนักงานใหญ่อยู่ไหน
- ประวัติและวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร
• ประธานผู้ก่อตั้ง ทญ. ลพา วัชรศรีโรจน์
• Promote ตระกูล วัชรศรีโรจน์
• แนวคิดการเปิดบริษัท Aimstar ถ้าคนไหนตั้งใจก็สามารถเป็นที่ 1 ในโลกได้
• Promote ทักษะความสามารถของคุณหมอ
• กรรมการผู้จัดการ นพ. พนินทร์ ชนเลอเกียรติ
• Promote ประวัติการศึกษา และทักษะความสามารถของคุณหมอ
• เป็นผู้ฝีกอบรมคอร์ส The Winner
- บันทึกหน้าประวัติศาสตร์ของบริษัท
• วันแถลงข่าวเปิดตัวบริษัท คุณหมอประกาศว่า จะพาบริษัทไปสู่ระดับสากล
• ในขวบปีที่ 3 ของบริษัท สามารถเปิดสาขาที่ญี่ปุ่นและกัมพูชา
• สร้างประวัติศาสตร์พิชิตยอดขายกว่า 2,000 ล้านบาท ภายใน 4 ปี ขึ้นสู่การติดอันดับ
1 ใน 5 บริษัทที่มียอดขายสูงที่สุด
• ก้าวสู่การเป็นบริษัทอันดับ 1 ของประเทศด้วยการตั้งเป้าหมายยอดขาย 15,000
ล้านบาท ซึ่งเติบโต 8 เท่าตัว
• ต้อนรับการเปิดสาขาอินเดีย และ USA ด้วยการเปิดตัว Head Quarter ที่ปาก
ซอยสุขุมวิท 59 มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท
• เตรียมเปิดตัวโรงงานผลิตและวิจัย ด้วยทุนสร้างมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท
• เตรียมเปิดสาขาต่างประเทศอย่างต่อเนื่องโดยมี จีน รัสเซีย มาเลเซีย เวียดนาม ลาว
• ทุกสาขาเชื่อมโยงเครือข่ายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า ระบบ One Code
One World มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท
• อธิบายเรื่องระบบ One Code One World
• จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริม Brand อย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดงาน Expo การประกวด
นางแบบ ASNI Guest Model ที่ Central World
• คอร์สสอนธุรกิจ The Winner ที่ Impact Arena / Challenger เมืองทองธานี โดยมีผู้ร่วม
เรียนกว่า 30,000 คน
OPP สำหรบหน้าที่ของวิทยากร สินค้า (ใช้เวลาใน House Meeting ประมาณ 30 นาที)
- ภาพรวมสินค้า 5 กลุ่ม
• บรรยายผลิตภัณฑ์ตัวหลักในแต่ละกลุ่ม
• บอกชื่อ Brand ในแต่ละกลุ่มด้วย
• แบ่งปันประสบการณ์ความประทับใจในสินค้าตัวที่ใช้ได้
- ประโยชน์ของน้ำมันรำข้าว
• พูดสาเหตุของโรคเสื่อม เกิดจากภาวะโภชนาการ และสุขลักษณะที่ไม่ดีของตัวเราเอง
พูดถึงสารอาหารที่สำคัญในน้ำมันรำข้าว และขั้นตอนในการสกัด
• พูด 4 ห้องหัวใจ และ 1 สมอง
• ยก Case ประกอบการอธิบายตามความเหมาะสม
- การสาธิตสินค้า
• เลือกสาธิตสินค้าแค่ 2 ชนิด
• ระหว่างการสาธิตสินค้า ต้องอธิบายขั้นตอนประกอบด้วยเสมอ
• ให้คนใหม่มีส่วนร่วมในการสาธิตสินค้าด้วยจะดีมาก
• อธิบายผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังการสาธิตสินค้าทุกครั้ง เพื่อไขข้อข้องใจ
• หลังจากนั้นให้บรรยายสรรพคุณของผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมอีกครั้ง
• ส่งสินค้าในกลุ่ม Body Soft ให้ทดลองดม และทา
• ให้อาสาสมัครทดลองใช้ โฟม หรือ เจล ล้างหน้า
OPP สำหรับหน้าที่ของวิทยากร แผนธุรกิจ (ใช้เวลาใน House Meeting ประมาณ 20 นาที)
- เขียนแผนธุรกิจตามรูปแบบที่ตนเองเข้าใจได้อย่างอิสระ
- แผนธุรกิจ ย้ำให้เห็นถึงการทำงานเป็นทีม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และมาก่อนหลัง แซงกันได้
OPP สำหรับหน้าที่ของวิทยากร สรุป (ใช้เวลาใน HM ประมาณ 20 นาที)
- 6 สมดุลชีวิต
• รายได้ไร้ขีดจำกัด ให้บรรยายพร้อมกับยกตัวอย่างผู้ประสบความสำเร็จ
• มีเวลาใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ
• มีสุขภาพที่ดี
• เลือกเพื่อนร่วมงานได้
• มีโอกาสท่องเที่ยว ให้ Promote ท่องโลกกว้างกับ Aimstar
• ได้รับเกียรติรางวัลและการยอมรับ ให้ Promote นิตยสาร One World
- การเริ่มต้นธุรกิจอย่างง่ายๆ
• เริ่มจากการซื้อสินค้าเพื่อทดลองใช้ หาความประทับใจ
• พูดถึงวงจรกิจวัตร
- Promote สื่อ, โปรโมชั่นต่างๆ, กิจกรรมในเดือนนี้ ทั้งของกลุ่มและของบริษัท
Training สำหรับหัวหน้า House Meeting
- แจ้งให้สมาชิกทราบถึงหัวข้อการฝึกสอนล่วงหน้าเสมอ
- สอนทั้ง 4 ชัวร์ และคอร์สพิเศษ
- ไม่ควรมีคนใหม่ในรอบ Training House Meeting
- ถ้ายังไม่มั่นใจตัวเอง ควรเชิญ Upline ที่ชำนาญกว่ามาเป็นผู้ฝึกสอน แล้วรีบฝึกฝนตัว
เองให้เก่ง
- อาจจัดวันให้มีการเล่าประสบการณ์การทำงานในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามความเหมาะสม
Training สำหรับสมาชิก House Meeting
- พยายามฝึกฝน 4 ชัวร์ ด้วยตัวเองก่อน โดยดูจากสื่อต่างๆ และจากการเรียนรู้ใน
OPP House Meeting หรือ Center อยู่เสมอ
- แสดงผลการฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ใน Training House Meeting
- รับฟังข้อเสนอแนะจากหัวหน้า House Meeting ในการพัฒนาปรับปรุงแก้ไข
- ทบทวนเนื้อหาความรู้ที่ได้รับ และนำไปฝึกฝนพัฒนาแก้ไข ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เสมอ
- นำความรู้ไปถ่ายทอดต่อให้กับทีมงานของตนเองต่อไป

About Blog

Blog นี้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็น "คลังข้อมูล" แก่กลุ่มสายงานเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทแต่อย่างใด ท่านผู้ใดสนใจร่วมธุรกิจ หรือ ต้องการ dowload ข้อมูล กรุณาติดต่อผ่าน Email: cherrypowergroup@gmail.com

ให้เช่า ทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ในซอยเพชรเกษม 48 ตัดกับ ซอยจรัลฯ 13

ให้เช่า ทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องรับแขก เนื้อที่ 23 ตารางวา ต่อเติมด้านหน้า ด้านหลัง อยู่ที่หมู่บ้านริมน้ำ ในซอยเพชรเกษม 48 ตัดกับซอย จรัลฯ 13 ใกล้ตลาด ไชยฉิมพลี อยู่หน้าโรงเรียน ไชยฉีมพลี วิทยาคม การเดินทางเข้าออกสะดวกได้หลายทาง ค่าเช่า 6,500 บาท / เดือน สนใจติดต่อ คุณรัศมิ์ โทร. 083-118 9168
ประกาศวันที่ 25 ธัวาคม 2553